วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

Group 2. การเผยแพร่นวัตกรรม/ระบบการศึกษาทางไกล/โทรทัศน์การศึกษา/ดาวเทียมเพื่อการศึกษา



 
บทที่  1

 

ความหมาย  หลักการ  ทฤษฎีการเผยแพร่นวัตกรรม

 

           การแพร่กระจายหรือการเผยแพร่นวัตกรรม เป็นกระบวนการในการถ่ายเทความคิด การปฏิบัติ ข่าวสาร หรือพฤติกรรมไปสู่ที่ต่างๆ จากบุคคลหรือกลุ่มบุคลไปสู่กลุ่มบุคคลอื่น โดยกว้างขวาง จนเป็นผลให้เกิดการยอมรับความคิดและการปฏิบัติเหล่านั้น อันมีผลต่อโครงสร้างและวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในที่สุด  พบว่ามีสิ่งที่มีอิทธิพลในการดำเนินการของกระบวนการเผยแพร่  อยู่ 5 ประการ  คือ

          1.  ตัวนวัตกรรมเอง 

          2.  สารสนเทศหรือข้อมูลที่นำไปใช้ในการสื่อสารของนวัตกรรมนั้น

          3.  เงื่อนไขด้านเวลา

          4.  ธรรมชาติของระบบสังคมหรือชุมชนที่นวัตกรรมจะนำไปเผยแพร่

          5.  การยอมรับ

 

ความหมายของการเผยแพร่นวัตกรรม  (Diffusion  of  Innovation)

          การแพร่กระจายหรือการเผยแพร่นวัตกรรม  (Diffusion  of  Innovation)  เป็นกระบวนการในการถ่ายเทความคิด  การปฏิบัติ  ข่าวสาร  หรือพฤติกรรมไปสู่ที่ต่างๆ จากบุคคลหรือกลุ่มบุคลไปสู่กลุ่มบุคคลอื่น  โดยกว้างขวาง  จนเป็นผลให้เกิดการยอมรับความคิดและการปฏิบัติเหล่านั้น  อันมีผลต่อโครงสร้างและวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในที่สุด

            Everette M. Rogers (1983)  ได้อธิบายส่วนประกอบของการเผยแพร่  นวัตกรรมไว้ 4 ประการ  (ภาพที่  1)  คือ

                   1.  มีนวัตกรรมเกิดขึ้น

                   2.  ใช้สื่อเป็นช่องทางในการส่งผ่านนวัตกรรมนั้น

                   3.  ช่วงระยะเวลาที่เกิดแพร่กระจาย

                   4.  ผ่านไปยังสมาชิกในระบบสังคมหนึ่ง

ความสำคัญของการเผยแพร่นวัตกรรมทางการศึกษาและความเป็นมา

           ปัจจุบันเรากำลังอยู่ที่จุดของการเปลี่ยนแปลง  ยุคของการเกิดสิ่งใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ  ซึ่งในตัวของมันเองก็เป็นสิ่งที่แปลกไปจากความเคยชินของคนโดยทั่วไปในสังคมอยู่แล้ว  และสิ่งใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ เหล่านี้  ยังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลกระทบต่อสังคมหลังจากที่คนในสังคมยอมรับเอาสิ่งใหม่ ๆ  เหล่านี้มาปฏิบัติใช้อีกด้วย

           อย่างไรก็ตามไม่ว่าสิ่งใหม่ ๆ หรือความคิดใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกอย่างจะเป็นที่ยอมรับใช้ในสังคมหรือมีอิทธิพลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้เสมอไป  ในสิ่งใหม่ ๆ  สิบอย่างอาจมีอย่างเดียวที่ประสบผลสำเร็จในการที่เป็นที่ยอมรับ  อีกเก้าอย่างอาจจะถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย และสิ่งใหม่ ๆ อย่างเดียวที่ประสบผลสำเร็จนั้น  ก็อาจเป็นที่ยอมรับในสังคมเพียงช่วงเดียวเท่านั้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า  ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้สมาชิกในสังคมตระหนักถึงความจำเป็นของการยอมรับสิ่งใหม่ ๆ  เหล่านี้และที่ไม่ควรลืมก็คือ  ทำอย่างไรจึงจะสามารถให้สมาชิกในสังคมรู้จักการตัดสินใจยอมรับสิ่งใหม่อย่างมีเหตุผลและสามารถใคร่ครวญถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น  จากการยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ประการสุดท้ายก็คือ  เมื่อเกิดการยอมรับขึ้นในสังคมแล้วจะทำอย่างไรจึงจะทำให้สิ่งใหม่ ๆ นั้นผสมผสานกลมกลืนกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม  ช่วยให้การดำเนินชีวิตของเขาเหล่านี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์พูนสุขขึ้น

           กระบวนการเผยแพร่นวัตกรรม  นับว่ามีบทบาทเป็นอย่างมากและได้มีนักทฤษฎี  ตลอดจนนักวิจัย  ได้พยายามทำการค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับกระบวนการเผยแพร่ในหลาย ๆ  สาขาวิชา

ด้วยกันที่เด่น ๆ  ก็มี  สาขามานุษยวิทยา (Anthropology)  สาขาสังคมวิทยายุคต้น  (Early Sociology) สังคมวิทยาว่าด้วยเรื่องชนบท  (Rural Sociology)  สาขาการศึกษา  (Education)  สาขาการแพทย์ (Medical  Sociology)  สาขาการสื่อสาร  (Communication)  และสาขาการตลาด  (Marketing)  ถึงแม้ว่างานที่เกี่ยวกับการเผยแพร่นวัตกรรมนี้  จะเป็นอิสระจากกันแต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า  ผลการศึกษา  ค้นคว้าจะออกมาในแนวเดียวกันเป็นส่วนใหญ่

            ปัจจุบันการศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการศึกษาและการเผยแพร่นวัตกรรมทางการศึกษาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง  โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาและการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาซึ่งปรากฏว่ามีนวัตกรรมทางการศึกษาจำนวนมาก  ได้รับการนำเสนอเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาของเราไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมทางการสอน  (เช่น  การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  การสอนแบบบูรณาการ  การสอนแบบเน้นชุมชนเป็นห้องเรียนและการสอนแบบเพลิน  เป็นต้น)  นวัตกรรมหลักสูตร  (เช่น  หลักสูตรท้องถิ่น  หลักสูตรสถานศึกษา  หลักสูตรแบบโมดูลและหลักสูตรแบบ  E-Learning  เป็นต้น)           นอกจากนี้  ยังมีนวัตกรรมด้านบริหาร  ด้านการวัดและประเมินผล  ด้านสื่อการเรียนการสอน  ตลอดจนนวัตกรรมด้านแนวความคิดและปรัชญาทางการศึกษาอีกเป็นจำนวนมาก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการศึกษาค้นคว้าและการวิจัยเรื่องการเผยแพร่นวัตกรรมทางการศึกษานั้น  ยังมีผู้ให้ความสนใจน้อยมาก  แม้ว่าที่จริงแล้วการจะนำนวัตกรรมทางการศึกษาที่สร้างขึ้นไปใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังและอย่างเต็มรูปแบบมากน้อยเพียงไร  ขึ้นอยู่กับการออกแบบหรือเลือกใช้กระบวนการการเผยแพร่ที่เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของสถานศึกษาพอ ๆ กับลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะตัวของนวัตกรรมนั้นๆด้วย 

          การวิจัยทางด้านการเผยแพร่นวัตกรรมจะเป็นการศึกษาปัจจัย  5 ประการนี้ว่า  มีผลอย่างไรและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร  ในการส่งเสริมให้มีการยอมรับและใช้ผลผลิตของเทคโนโลยีการศึกษา

                   1.  Innovation  หมายถึง  ความคิดใหม่เทคนิควิธีการใหม่หรือสิ่งใหม่ที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้  นวัตกรรมนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความรู้เป็นของใหม่สำหรับกลุ่มผู้มีศักยภาพในการยอมรับนวัตกรรม  กฤษมันต์  (2536,  หน้า  104)

                   2.  Communication channels  หมายถึง  ช่องทางในการสื่อสาร  ที่ใช้มากคือ  การใช้สื่อสารมวลชน  แต่การสื่อสารระหว่างบุคคลแบบปากต่อปากยังเป็นที่ยอมรับและใช้ได้ดีอยู่  ปัญหาคือการประเมินผลการใช้ช่องหรือสื่อเพื่อการเผยแพร่นั้น  ยังไม่มีการศึกษาผลของการใช้อย่างมีระบบมากนัก  ส่วนมากยังใช้การสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใช้อยู่

                   3.  Time  หมายถึง  เวลาหรือเงื่อนไขของเวลา  ในแต่ละขั้นตอนของการเผยแพร่และยอมรับอาจมีช่วงของเวลาในแต่ละขั้นแตกต่างกัน  จำเป็นต้องมีการศึกษาและคาดการณ์ไว้สำหรับงานการเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา

                   4.  Social System  หมายถึง  เป็นระบบสังคมที่มีธรรมชาติ  วัฒนธรรมของคนในสังคมที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีไปใช้  ฐานะทางเศรษฐกิจของคนในสังคมโดยรวม  และกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมที่แตกต่างกัน  สามารถยอมรับนวัตกรรมได้แตกต่างกัน  การเมือง  การปกครอง   มีอำนาจต่อการยอมรับนวัตกรรมเป็นอย่างมาก  การศึกษาถึงอิทธิพลของระบบสังคมจะช่วยให้เข้าใจและหาวิธีการที่เหมะสมในการเผยแพร่นวัตกรรมได้

                   5.  Adaption  หมายถึง  เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในการยอมรับ  (หรือปฎิเสธ) นวัตกรรมและเทคโนโลยี  โดยมีพื้นฐานทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยา  เป็นองค์ความรู้สำคัญในการอธิบายกระบวนการในการยอมรับ  (หรือไม่ยอมรับ)

 

 

สาเหตุในการศึกษาทฤษฎีการเผยแพร่

          การศึกษาถึงทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง  ในการเผยแพร่นวัตกรรมในสาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษานั้น  มีสาเหตุสำคัญ 3 ประการ  ได้แก่

                   1.  นักเทคโนโลยีการศึกษาต้องการทราบว่า  “ทำไมผลผลิตของพวกเขาจึงเป็นที่ยอมรับ  หรือไม่เป็นที่ยอมรับ”  ในความเป็นจริงแล้วก็เหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จ  และความล้มเหลวของการเผยแพร่ให้ผู้ยอมรับและนำไปใช้นั้นยิ่งเป็นสิ่งลึกลับ  คำตอบที่ชัดเจนยังไม่มี  และคำตอบของสังคมหนึ่งอาจไม่ใช่คำตอบเดียวกันกับสังคมอื่นๆ  และยังมีเทคโนโลยีการศึกษาที่  ได้รับการยอมรับที่ดีจากที่อื่นๆ  แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากอีกสังคมหนึ่ง  เทคโนโลยีการศึกษา  บางท่านโยนความผิดให้กับครูและผู้บริหารที่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลงและถือว่านี้เอง  รากเหง้าของปัญหาในการเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้ไปสู่การปฏิบัติบ้าง  โดยความผิดให้ระบบราชการที่ซับซ้อนมากระเบียบ  และขาดงบประมาณในการที่จะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ (Sch neberg and Jost,   1994)   การหาคำตอบได้จะเป็นการสร้างความเข้าใจในอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ  ที่เป็นตัวช่วยและตัวเร่งให้เกิดทั้งความล้มและความสำเร็จในการยอมรับบทความนี้  จึงเป็นการนำเสนอวิเคราะห์และสังเคราะห์ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการเทคโนโลยีนวัตกรรม  เพื่อให้เกิดการยอมรับและนำไปสู่การปฏิบัติเนื้อหาสาระของการเผยแพร่นวัตกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา  ที่มีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและในสหรัฐอเมริกา

                   2.  เทคโนโลยีทางการศึกษาที่มาจากการเป็นนวัตกรรมมาก่อน  ผลผลิตทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาโดยนักเทคโนโลยีการศึกษา  เป็นการสืบสานทางนวัตกรรมในกระบวนการของการสอนทั้งในด้านของรูปแบบการจัดการขั้นตอนและการนำเสนอ  นักเทคโนโลยีการศึกษาที่เข้าใจในตัวของนวัตกรรมเอง  และทฤษฏีที่ใช้ในการเผยแพร่นวัตกรรมจะทำให้สามารถเตรียมตัวและเตรียมงานการเผยแพร่ให้กับกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  (Schiffiman,  1991)

                   3.  การศึกษาทฤษฏีการเผยแพร่วัตกรรมจะนำไปสู่การเผยแพร่นวัตกรรมอย่างเป็นระบบสร้างรูปแบบของการเผยแพร่  และรูปแบบของการยอมรับนวัตกรรมขึ้น  นักเทคโนโลยีการศึกษายอมรับกระบวนการของการนำเข้าสู่ระบบ  (System Approach)  และมีรูปแบบของระบบที่ได้จากทฤษฏีการเผยแพร่นวัตกรรมมากมายที่ใช้เป็นแนวทางของกระบวนการในการพัฒนาการสอน (Instructional Development หรือ ID)  รูปแบบของกระบวนการพัฒนาการสอนได้ใช้ในการออกแบบและพัฒนาวิธีการเรียนรู้โดยการนำเข้าสู่ระบบอย่างมีประสิทธิภาพมากมายเหล่านั้น  เป็นที่มาของการเกิดเป็นวัตกรรมศึกษาขึ้น  รูปแบบเชิงระบบของการเผยแพร่นวัตกรรมก็จะช่วยเป็นแนวทางของกระบวนการเผยแพร่นวัตกรรมการศึกษา  และสร้างการยอมรับนวัตกรรมศึกษาและผลผลิตทางด้านเทคโนโลยีการศึกษากับผู้ใช้เช่นเดียวกัน  และหวังว่ารูปแบบเชิงระบบในการผลิตผลงานด้านเทคโนโลยีการศึกษาจะทำให้ผลผลิตมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันด้วย

ทฤษฏีการเผยแพร่  (Diffusion  Theories)

          ต้นกำเนิดของการศึกษาวิจัยเรื่องการเผยแพร่และการยอมรับนวัตกรรมมีมานาน  ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์  เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่การถ่ายทอดความรู้และยอมรับนวัตกรรมจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งมาโดยตลอด  แต่การศึกษาเรื่องการเผยแพร่อย่างเป็นระบบนั้นพอสรุปได้  ดังนี้

          ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษ 19  (1900s)  Gabriel  trade  เป็นนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสมีอาชีพเป็นผู้พิพากษา  ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้รับการศึกษาจากระบบโรงเรียน  เขาก็เป็นนักวัตกรรมและมีหัวก้าวหน้าในสมัยนั้น  เขาได้สังเกตการถ่ายทอดและการเผยแพร่วัตกรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งเขาเรียกว่า  กฎของการเลียนแบบ  (Law of Lmitation)  ซึ่งปัจจุบันแล้วเรียกว่า  การยอมรับนวัตกรรม (The Adoption of Innovation)

          ในช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 1992-50  Bruce Ryan  และ  Neal Gross  ทั้งสองเป็นผู้เริ่มใช้กระบวนการวิจัยในการศึกษาการเผยแพร่นวัตกรรม  Neal Gross  จบปริญญาได้วุฒิ  Ph.D.  สาขาวิชาสังคมวิทยา  (Sociology)  จาก  Lowa State University  ในปี ค.ศ. 1946  เป็นนักวิจัยให้กับ Lowa State University  ระหว่าง ค.ศ. 1946 – 1948 และย้ายไปเป็นอาจารย์ที่ University of Minnesota ระหว่างปี ค.ศ. 1948 – 1951 ก่อนจะย้ายไปเป็นอาจารย์ที่  Harvard University  ส่วน  Bruce Ryan  ไม่สามารถค้นประวัติได้

          ในช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 1960S มีกลุ่มนักมานุษยวิทยาเกิดขึ้นในอังกฤษ  เยอรมันนีและออสเตรเลีย  (The British and German-Austrian Diffusionists)  ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเผยแพร่ทัศนะของนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในประเทศเหล่านั้น  เหมือนกันและยังเป็น       รากฐานของการวิจัยทางด้านการเผยแพร่  โดยพวกเขาอธิบายว่า  การเปลี่ยนแปลงในสังคมใดสังคมหนึ่งนั้น  เกิดจากการรับเอานวัตกรรมมาจากอีกสังคมหนึ่ง  (Rogers,  1995,  p.41)

         

          ทฤษฎีการเผยแพร่นั้น  เกิดจากการผสมผสานทฤษฎี  หลักการและความรู้  ความจริงจากหลายสาขาวิชาที่มีศาสตร์เกี่ยวกับการเผยแพร่  แต่ละศาสตร์จะมีส่วนประกอบเฉพาะในส่วนที่เป็นนวัตกรรมของศาสตร์นั้น ๆ  ผลจากการรวบรวมกระบวนการ  วิธีการ  ทฤษฎีและการเผยแพร่ของศาสตร์ต่าง ๆ นำไปสู่การสร้างทฤษฎีการเผยแพร่ขึ้นและเป็นทฤษฎีที่ไม่บ่งชี้เฉพาะว่า  ใช้สำหรับการเผยแพร่นวัตกรรรมของสาขาวิชาหรือศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งโดยเฉพาะ  เหตุผลที่ว่าทำไมทฤษฎีการเผยแพร่ถึงไม่มีความเฉพาะ  เนื่องจากการเผยแพร่นวัตกรรมนั้นมีในทุกสาขาวิชาและทุกศาสตร์ Rogers (1995)  ได้อ้างผลการศึกษาในปี  ค.ศ. 1943 โดย Ryan  และ Gross  ที่มหาวิทยาลัย Lowa State (Lowa State University)  ที่ได้ให้ต้นกำเนิดของการวิจัยด้านการเผยแพร่แนวใหม่ Ryan และ Gross (1943)  ได้ทำการศึกษาจากสาขาวิชาด้านสังคมชนบท โดยการใช้การสัมภาษณ์ผู้ยอมรับและการใช้นวัตกรรมและทำการตรวจสอบกับปัจจัยที่ทำให้เกิดการยอมรับและใช้นวัตกรรมศึกษา  กระบวนการสัมภาษณ์ที่  Ryan  และ Gross  ใช้ในการศึกษา  จึงเป็นแบบแผนที่ใช้เป็นแบบอย่างของการศึกษาวิจัยเรื่องการเผยแพร่นวัตกรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  (Rogers,   1995)นักวิจัยอื่นๆ ก็ใช้วิธีการนี้ในการศึกษาและสร้างเป็นทฤษฎีการเผยแพร่นวัตกรรมกันต่อ ๆ มา

          นักวิจัยที่ทำการศึกษาและสังเคราะห์ผลการวิจัยต่าง ๆ แล้วนำมาสร้างเป็นทฤษฎีการเผยแพร่นวัตกรรมจนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับคือ  ในหนังสือของเขาชื่อ  Diffusion of Innovations  ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1960  และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003  ได้มีการพิมพ์เป็นครั้งที่ 5  การพิมพ์ครั้งนี้ได้จัดพิมพ์เล่มและอยู่ในรูปของ  Digital  ที่เป็น E-Book  แล้ว  สามารถสั่งซื้อจาก  Website  โดยการ Down Load  มาได้เลยเมื่อจ่ายค่าหนังสือแล้ว  หนังสือของ  Rogers  ได้เสนอทฤษฎีที่เริ่มมีความชัดเจนขึ้นสำหรับงานการเผยแพร่นวัตกรรมมากที่สุด  และเป็นรากฐานของการพัฒนาทฤษฎีการเผยแพร่นวัตกรรม  ดังต่อไปนี้

                   1.  ทฤษฎีกระบวนการตัดสินใจรับนวัตกรรม  (The Innovation Decision Process Theory)  ทฤษฎีนี้  Rogers  (1995)  ได้ให้คำอธิบายว่า  การเผยแพร่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงของเวลาหนึ่งที่มีขั้นตอนของการเกิด 5 ขั้น  ได้แก่

                             1.1  ขั้นของความรู้  (Knowledge)

                             1.2  ขั้นของการถูกชักนำ  (Persuasion)

                             1.3  ขั้นของการตัดสินใจ  (Decision)

                             1.4  ขั้นของการนำไปสู่การปฏิบัติ  (Implementation)

                             1.5  ขั้นของการยืนยันการยอมรับ  (Confirmation)

         

          ทฤษฏีนี้เริ่มจากผู้ที่มีศักยภาพที่จะรับนวัตกรรมได้เรียนรู้กับนวัตกรรมนั้น  จนมีความรู้ความเข้าใจในนวัตกรรมอย่างดี  และถูกชักนำโน้มน้าวให้เชื่อถือจากคุณงามความดีของตัวนวัตกรรมนั้น  หลังจากนั้นมีการตัดสินใจว่าจะรับเอานวัตกรรมนี้มาใช้  เมื่อตัดสินใจก็ลงมือปฏิบัตินำเอานวัตกรรมสู่การปฏิบัติและขั้นสุดท้ายคือ  การยืนยัน (หรืออาจปฏิเสธ)  การตัดสินใจยอมรับและใช้นวัตกรรมนั้นต่อไป  ทฤษฎีนี้ใช้อ้างในการศึกษากระบวนการเผยแพร่นวัตกรรมนั้นอย่างแพร่หลาย  ในกลุ่มของนักเทคโนโลยีการศึกษาดังนี้ 

          Sachs  (1993,  p. l)  ได้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า  หลังจากที่ได้ศึกษาวรรณคดีที่เกี่ยวข้องในสาขาวิชาของเราแล้ว  จะพบความประทับใจอย่างหนึ่งว่า  สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เราต้องรู้ไว้เกี่ยวกับการชวนให้ใช้นวัตกรรมหรือการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างให้ดีขึ้นนั้น  จะมีขั้นตอนอยู่  5 ขั้น  ที่เป็นกระบวนการของการยอมรับนวัตกรรม   การที่ Sachs  สรุปได้อย่างนั้น  ทฤษฏีนี้ได้เป็นที่รู้จักการแพร่หลายมาก

                   2.  ทฤษฎีความเป็นนวัตกรรมในเอกัตบุคคล  (The individualinnovativeness theory)  roges (1995)  ได้อธิบายว่า  บุคคลที่ได้รับกล่อมเกลาให้เป็นนักนวัตกรรมจะยอมรับนวัตกรรม  จะยอมรับนวัตกรรมเร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้รับหรือรับการกล่อมเกลามาน้อย  ตามทฤษฎีนี้แยกความเป็นนวัตกรรมในเอกัตบุคคลออกดังนี้

                             -  กลุ่มไวต่อการรับนวัตกรรม  (Innovators)

                             -  กลุ่มแรกๆที่รับนวัตกรรม  (Early  adopters)   

                             -  กลุ่มใหญ่แรกที่รับนวัตกรรม  ( Farly  maicoity)

                             -  กลุ่มใหญ่ที่หลังรับนวัตกรรม  ( Late  majority)

                             -  กลุ่มสุดท้ายที่รับนวัตกรรม  (Laggards)

                   ทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นการกระจายตัวของกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรม  โดยกลุ่ม  Innovators  จะเป็นกลุ่มที่รับนวัตกรรมทันที  คนกลุ่มนี้มีลักษณะกล้าเสี่ยงและมีความเป็นนักนวัตกรรมสูงจึงมีความพร้อมที่จะย่อมรับและมีศักยภาพที่จะรับได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งจะมีเพียง 2.5%  ของคนทั้งหมดที่จะใช้นวัตกรรมนั้น  ต่อมาเป็นกลุ่ม  Early Adopters  กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังมีความเชื่องช้าในการรับนวัตกรรมกว่าพวกแรก  แต่เป็นกลุ่มที่ไวต่อการรับนวัตกรรมหลังจากทราบว่ามีกลุ่ม  Innovators  ได้ยอมรับไปแล้ว  กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกๆ  ตามมาที่ยอมรับนวัตกรรม  ซึ่งจะมีประมาณ  13.5%  ส่วนกลุ่ม  Early majority  และกลุ่ม  Late majority  มีกลุ่มละเท่าๆ กัน  รวมเป็น 86%   กลุ่มแรกจะรับนวัตกรรมก่อนกลุ่มหลัง  แต่เมื่อรวมกันแล้วเป็นกลุ่มใหญ่ที่จะทำให้เห็นนวัตกรรมได้ถูกนำไปสู่การ ปฏิบัติในสังคม  กลุ่มนี้จะดูทีท่าและทิศทางก่อนเมื่อเห็นว่าการยอมรับนวัตกรรมเกิดจากประโยชน์จึงตัดสินใจยอมรับนวัตกรรมและกลุ่มสุดท้าย  Laggards  มีจำนวน 16%  เป็นกลุ่มที่ต่อต้านนวัตกรรม ถ้าจะยอมรับอย่างเสียมิได้หรือมิอาจ  จะไม่ยอมรับเลยตลอดไป

                   3.  ทฤษฏีอัตราการยอมรับ  (The theory of rate of adoption)  rogers  (1995)  ได้อธิบายทฤษฎีนี้ไว้ว่า  เป็นการเผยแพร่นวัตกรรมในช่วงเวลาอย่างเป็นแบบแผน  เขียนกราฟเป็นรูปตัว S  ทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นว่า  นวัตกรรมจะได้รับการยอมรับผ่านช่วงของระยะเวลาอย่างช้าๆ  แบบค่อยเป็นค่อยไป และจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจะชะลอตัวอีกครั้ง  แสดงการยอมรับของนวัตกรรมเป็นรูปตัว S  ทฤษฎีนี้ยังกล่าวอีกว่า  หลังจากผ่านช่วงของการเติบโตอย่างรวดเร็ว  จะมีการชะลอตัวลงและคงที่อยู่หรือตกลงมาได้อีกด้วย        

                   เวลาช่วงเริ่มต้นของการเผยแพร่นวัตกรรม  จะมีการยอมรับนวัตกรรมน้อย  เส้นกราฟจะอยู่ต่ำและค่อย ๆ สูงขึ้น และเมื่อถึงช่วงเติบโตการยอมรับจะมีมากและเป็นไปอย่างรวดเร็วด้วย  หลังจากนั้นจะเริ่มช้าลงและมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการยอมรับนวัตกรรมลดลงอีกด้วย  และถึงคราวที่ต้องมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นอีกเป็นอย่างนี้ต่อ ๆ ไป  และก็จะมีการเติบโตแบบตัว S เช่นเดียวกันซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ       

                   4.  ทฤษฎีการยอมรับด้วยคุณสมบัติ  (The  theory of perceibutes)  rogers  (1995)  ได้ขยายความทฤษฎีนี้ไว้ว่า  กลุ่มผู้มีศักยภาพในการยอมรับนวัตกรรม  ตัดสินใจรับโดยใช้ฐานของการรับรู้  รับทราบถึงคุณสมบัติของนวัตกรรม  ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ประการ  ได้แก่

                             4.1  นวัตกรรมนั้นสามารถทดลองใช้ได้ก่อนการจะยอมรับ  (Trilability)

                             4.2  นวัตกรรมนั้นสามารถสังเกตผลที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน                                          (Obscervability )

                             4.3  นวัตกรรมนั้นมีข้อดีกว่าหรือเห็นประโยชน์ได้ชัดเจนกว่าสิ่งอื่น ๆ มีอยู่                          ในขณะนั้นหรือสิ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน  (Relative Advantage)

                             4.4  ไม่มีความซับซ้อนง่ายต่อการนำไปใช้  (Complexity)

                             4.5  สอดคล้องกับการปฏิบัติและค่านิยมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น                                         (Compatibility)

                   ทฤษฎีการยอมรับด้วยคุณสมบัติของนวัตกรรม  ได้นำไปใช้ในการศึกษาการเผยแพร่และการยอมรับเอานวัตกรรมไปใช้ในสาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษาเป็นอย่างมาก  จากการศึกษาพบว่า  Compatibility,  Complexity  และ  Relative Advantage  มีอิทธิพลอย่างมากในการยอมรับเอานวัตกรรมทางด้านการสอนและเทคโนโลยีการสอนไปใช้  Wyner (1974 )   และ  Holloway  ( 1977 )  พบว่า  Relative Advantage  และ  Compatibility  มีอิทธิพลอย่างมาก  ต่อผู้ที่มีศักยภาพในการยอมรับนวัตกรรมในด้านของเทคโนโลยีทางการสอนในโรงเรียนระดับมัธยมปลาย  Eads (1984 )  พบว่า  การตัดสินใจยอมรับนวัตกรรมการฝึกอบรม  โดยการใช้คอมพิวเตอร์ของนักพยากรณ์อากาศนั้นมีอิทธิพลจากคุณสมบัติของตัวนวัตกรรมในด้าน  Relative Advantage Complaxity  และ  Compatibility

 

วิเคราะห์ทฤษฎีที่นำไปใช้ในการเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา

                 มีนักวิจัยจำนวนหนึ่งได้พยายามใช้ทฤษฎีการเผยแพร่ที่กล่าวมาแล้ว นำไปใช้กับการเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา อย่างไรก็ตาม ทฤษฏีดังกล่าวข้างต้น ต่างก็เป็นที่ยอมรับว่าสามารถนำมาใช้ในการอธิบายการเผยแพร่และการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษาได้ทั้งสิ้น ทฤษฎีดังกล่าวข้างต้นเมื่อนำมาวิเคราะห์และศึกษาปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังของทฤษฎีดังกล่าวสรุปได้ดังนี้

          1.  กลุ่มทฤษฎีมหภาคและจุลภาค (Macro and micro theories)  การประยุกต์ทฤษฎีการเผยแพร่ เพื่อนำไปใช้กับงานทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาสามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมหภาคและกลุ่มจุลภาค

          2.กลุ่มปรัชญาแบบ Determinist และแบบ Instrumentalist  Determinist หรือ Developer หมายถึง ผู้ที่เป็นที่กำหนดบทบาท เล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นจากการยอมรับและนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีไปใช้ และทำให้เกิดผลแห่งการเปลี่ยนแปลง มุมมองของ Determinist นั้น

 

กลุ่มทฤษฎีมหภาคและจุลภาค (Macro and micro theories)

          การประยุกต์ทฤษฎีการเผยแพร่ เพื่อนำไปใช้กับงานทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาสามารถแยกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมหภาคและกลุ่มจุลภาค ซึ่งมีจุดมุ่งหมายของแต่ละกลุ่มแตกต่างกันดังนี้

                    1. Macro Theories หรือกลุ่มมหภาค กลุ่มนี้เน้นเรื่องของการปฏิรูปและปรับโครงสร้างระบบของสถาบันการศึกษาและการจัดการศึกษา เป้าหมายของกลุ่มนี้เพื่อต้องการศึกษาวิธีการในการเผยแพร่แนวคิดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ซึ่งหมายถึงสถานศึกษาในระดับต่างๆ ที่เทคโนโลยีเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

                    2. Micro Theories หรือกลุ่มจุลภาค กลุ่มนี้เน้นการยอมรับและการนำผลผลิต ความคิดหรือวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางด้านเทคโนโลยีการศึกษาไปใช้ในกลุ่มเป้าหมาย จุดมุ่งหมายของการศึกษาวิจัยในกลุ่มนี้ เพื่อต้องการพัฒนาทฤษฏีที่เกี่ยวกับการยอมรับเทคโนโลยี เพื่อการหาวิธีที่ดีที่สุดในการนำไปสู่การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้แพร่หลายมากที่สุด รวมทั้งการเข้าใจถึงกระบวนการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้วย

          กลุ่มทั้งสองกลุ่มนี้ ได้ทำการศึกษาการใช้ทฤษฎีเผยแพร่เพื่อให้เกิดการยอมรับและเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็น Macro Theories มีจุดประสงค์เพื่อจะเป็นการเปลี่ยนระบบ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Systemic Change Theories ส่วน Micro Theories มีจุดประสงค์เพื่อจะเน้นการยอมรับผลผลิตของเทคโนโลยีการศึกษาไปใช้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Product Utilization Theories ซึ่งจุดประสงค์ของทฤษฎีมีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัดในสองกลุ่มนี้ ส่วนปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังของแนวคิดสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันเช่นกัน ในกลุ่มของ Systemic Change Theories เป็นการยึดปรัชญาในแบบ Technological Determinism ส่วนกลุ่มของ Product Utilization Theories เป็นการยึดปรัชญาในแบบของ Technological Instrumentalism เพื่อให้เป็นการเข้าใจง่ายขึ้น จึงขอเรียกผู้ที่ยึดปรัชญาในกลุ่ม Technological Determinism ว่า Developer (Determinist) และเรียกผู้ที่ยึดปรัชญาในกลุ่ม Technological Instrumentalism ว่า Adopter (Instrumentalist)

กลุ่มปรัชญาแบบ Determinist และแบบ Instrumentalist

          Determinist หรือ Developer หมายถึง ผู้ที่เป็นที่กำหนดบทบาท เล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นจากการยอมรับและนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีไปใช้ และทำให้เกิดผลแห่งการเปลี่ยนแปลง มุมมองของ Determinist นั้น มองเทคโนโลยีว่าเป็นสิ่งที่มีพลังอิสระเกินกว่าที่มนุษย์จะควบคุมได้ และมองว่าเทคโนโลยีเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม (Chandler, 1995) ผู้นิยมในปรัชญานี้มองว่า การขยายตัวของเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ ไม่ต่อเนื่อง เป็นการสร้างกระบวนการปฏิรูป ปฏิวัติ แต่มีการเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นอนุกรมของการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดไปข้างหน้า ผู้ที่ได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ “ Toffler ” ผู้แต่ง หนังสือเรื่อง Future Shock และ The Third Wave โดยที่ Toffler ได้แสดงถึงการเป็นนักปรัชญาในกลุ่ม Determinist เมื่อเขาได้ยกตัวอย่างการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ดังนี้ “Behind such prodigious economic facts lies the great growing engine of change-technology” นอกจากนั้น เขาได้กล่าวถึงไว้ด้วยว่า เทคโนโลยีเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม เขาได้กล่าวไว้ว่า “Technology is indisputably a major force behind this accelerative thrus”

                   กลุ่ม Determinist เชื่อว่า เทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในกลุ่มนี้ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันอีกในเรื่องของคุณงามความดีของเทคโนโลยี

                   กลุ่ม Utopian Determrnrst เชื่อว่า เทคโนโลยีเป็นพลังผลักดันไปสู่สิ่งที่ดีงาม ขจัดสิ่งที่ขัดขวางความสุขความเจริญของมนุษย์ได้ เทคโนโลยีเป็นตัวนำสังคมไปสู่ความผาสุกของ
มวลมนุษย์ชาติ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มของ Utopian ได้แก่ warshall wcLuhan และ Alvrn Toffler

                   กลุ่ม Dystopian Determinist เชื่อว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างชั่วร้าย มีพลังขับ และชักนำในการทำลายคุณความดี ปัญญา และร่างกายของมนุษย์ชาติ

 

          ฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่ม Determinist คือ กลุ่มของ Instrumentalist ความคิดกลุ่มนี้แตกต่างจากกลุ่มของ Determinist ที่ได้ชัดเจนคือ กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยีได้ โดยถือว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ กลุ่มนี้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเทคโนโลยีกับมีดอยู่เสมอ (Levinson 1996) มีดเป็นเครื่องมือและเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งหมดเป็นเครื่องมือขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะใช้มันไปในทางให้เกิดประโยชน์หรือให้เกิดโทษ และขณะที่กลุ่ม Determinst เชื่อว่า เทคโนโลยีเป็นตัวขับดัน เป็นแรงผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่กลุ่มนี้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมนั้นเกิดจากเงื่องไขและความต้องการของสังคมเป็นสำคัญ ถ้ามีความปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงก็จะเปลี่ยนได้ ถ้าไม่ต้องการ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงได้ สาเหตุอยู่ที่ คน ไม่ใช่ เทคโนโลยี ความแตกต่างอีกประการหนึ่งของกลุ่ม Instrumentalist นี้คือ เขามองว่าเทคโนโลยีมีกระบวนการของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นกระบวนการของการวิวัฒนาการควบคู่ไปกับสังคมไม่ใช่สิ่งที่เข้ามาเป็นช่วง ๆ อยู่ตลอดเวลาที่มีลักษณะเป็นอนุกรมของสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วทำให้เกิดการก้าวกระโดดในการเปลี่ยนแปลงอย่างที่กลุ่ม Determinist เชื่อถือ (Levinson; 1996) กลุ่ม Instrumentalist มีทัศนะต่อพัฒนาการของเทคโนโลยีว่ามีการเพิ่มขึ้นแบบสะสมตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแบบค่อยเป็นไป 

         

คุณลักษณะของผู้ยอมรับการเผยแพร่

          ในการเผยแพร่นวัตกรรมสู่ประชากรกลุ่มหนึ่ง  แม้ว่าในที่สุดทุก ๆ คนในกลุ่มนั้นจะยอมรับนวัตกรรมนั้นทั้งหมดก็ตาม  แต่ถ้าพิจารณาดูระยะเวลาของการยอมรับนวัตกรรมแล้วจะพบว่าทุก ๆ คนไม่ได้ยอมรับนวัตกรรมด้วยระยะเวลาเดียวกันหมด  มีความแตกต่างกันออกไปซึ่งถ้าจะลองจัดกลุ่มประชากรเหล่านี้ออกเป็นกลุ่ม ๆ  ตามลักษณะเวลาการยอมรับนวัตกรรมแล้วจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม  ดังนี้

          1.  กลุ่มนวัตกร  (Innovators)  ประชากรกลุ่มนี้มีลักษณะที่เด่นชัด  คือ  มีลักษณะของความเป็นผู้ที่ชอบการเสี่ยง  ชอบทดลองของใหม่ ๆ  ทำให้ประชาชนในกลุ่มนี้แตกต่างไปจากประชากรอื่น ๆ ในสังคมเดียวกันและดูเป็นคน  แปลก  ในสังคมนั้น  การที่จะเป็นนวัตกรได้นั้นต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่สนับสนุนอยู่  ซึ่งในคุณสมบัติเหล่านี้จะพบว่าการเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีมีความสำคัญมากประการหนึ่ง  เพราะนวัตกรจะไม่รู้สึกเดือดร้อนที่จะทดลองใช้นวัตกรรมและไม่รู้สึกอะไร  ถ้านวัตกรรมที่ทดลองใช้ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ

          2.  กลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น  (Early Adopters)  พวกที่รวมอยู่ในกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่มีลักษณะและคุณสมบัติที่คล้ายกับประชากรอื่น ๆ ในสังคมมากกว่าคนในกลุ่มนวัตกร จากงานวิจัยและการศึกษาลักษณะเฉพาะของกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น  พบว่า  พวกนี้เป็นพวกที่มีฐานะทางสังคมค่อนข้างสูง  เป็นผู้นำทางความคิดในสังคมนั้น  ประชากรในกลุ่มอื่น ๆ  จะสังเกตพฤติกรรมท่าทีของพวกกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่นและใช้เป็นแนวทางในการยอมรับหรือปฏิเสธนวัตกรรม  ตัวกลางการเผยแพร่นวัตกรรมจะยึดประชากรกลุ่มนี้เป็นพวกแรกที่จะทำความคุ้นเคยด้วยและพยายามชักจูงให้ประชากรในกลุ่มนี้ยอมรับนวัตกรรม  ทั้งนี้เพราะถ้าสามารถยึดประชากรกลุ่ม

ผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่นเป็นพวกได้แล้ว  การเผยแพร่นวัตกรรมไปยังกลุ่มประชากรที่เหลือก็จะง่ายขึ้น

          3.  กลุ่มชนส่วนใหญ่ที่ยอมรับนวัตกรรมระยะต้น  (Early majority)  พวกนี้จะตกลงใจยอมรับนวัตกรรมก่อนหน้าคนทั่ว ๆ ไปเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  ประชากรในกลุ่มนี้จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก  แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะทางสังคมที่สูงเหมือนพวกแรก  ลักษณะพิเศษของกลุ่มนี้ คือ  จะยอมรับนวัตกรรมช้ากว่ากลุ่มที่ 2 แต่จะเร็วกว่ากลุ่มอื่น ๆ ที่จริงแล้วประชากรในกลุ่มที่สามนี้เริ่มใช้นวัตกรรมบ้างแล้วและเห็นคล้อยตามบ้างแล้ว  แต่ไม่ยอมรับอย่างแน่ชัดมั่นใจลงไปว่าจะ

ยอมรับนวัตกรรมนั้นอย่างแท้จริง

          4.  กลุ่มชนส่วนใหญ่ที่ยอมรับนวัตกรรมระยะหลัง  (Late Majority)  คนในกลุ่มที่สี่นี้จะตกลงใจยอมรับนวัตกรรมช้ากว่าคนทั่ว ๆ ไปเล็กน้อย และที่ยอมรับก็เพราะเกิดแรงผลักดันจากสังคมให้รับนวัตกรรมนั้น ๆ การตกลงใจยอมรับนวัตกรรมของคนกลุ่มนี้จะเต็มไปด้วยความไม่วางใจ มีความระแวดระวังและเกิดหลังจากที่ได้เป็นตัวอย่างการใช้จากสมาชิกกลุ่มอื่น ๆ แล้ว

          5.  พวกล้าหลัง  (Laggards)  พวกนี้จะเป็นพวกกลุ่มสุดท้ายที่จะยอมรับนวัตกรรม  ลักษณะพิเศษที่มองเห็นได้ชัดสำหรับคนในกลุ่มนี้  คือ  จะเป็นพวกที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมดั้งเดิมและค่อนข้างจะอยู่ตัดขาดจากโลกภายนอก  คนในกลุ่มนี้จะสนใจแต่เรื่องในอดีต พยายามดำเนินรอยตามสิ่งที่เคยประพฤติปฏิบัติกันมาแต่ก่อน  ถ้าพวกล้าหลังนี้จะใช้นวัตกรรม

ก็หมายความว่า  นวัตกรรมนั้นได้ใช้กันมานานพอสมควร  จนกลายเป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่งของคนในสังคมแล้ว

          นอกจากลักษณะของผู้ยอมรับการเผยแพร่นวัตกรรมที่กล่าวตามกลุ่มต่าง ๆ ทั้ง 5 กลุ่มแล้ว ก็ยังสามารถกล่าวถึง  ลักษณะของผู้ยอมรับการเผยแพร่ตามตัวแปรทางฐานะทางเศรษฐกิจทางสังคม (Socio-Economics)  ความสัมพันธ์กับชุมชน  (Commu-Nication)  และบุคลิกลักษณะส่วนตัว (Personality)  ซึ่งที่จะนำมากล่าวต่อไปนี้

          ลักษณะทางสังคม : สรุปได้ดังนี้

                   1.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) ไม่มีความแตกต่างในเรื่องอายุจากประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   2.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีระดับการศึกษาสูงกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   3.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) สามารถอ่านออก

เขียนได้ดีกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   4.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีฐานะทางสังคม

สูงกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   5.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีลู่ทางผลักดันตัวเองขึ้นไปสู่ฐานะทางสังคมที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   6.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) เป็นพวกที่มีหัวการค้ามากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

 

          ลักษณะความสัมพันธ์กับชุมชน : สรุปได้ดังนี้

                   1.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางสังคมมากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   2.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีความสัมพันธ์กับสมาชิกอื่น ๆ ในสังคมมากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   3.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มองโลกกว้างไกลกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   4.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตัวกลางการเผยแพร่มากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   5.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีความคุ้นเคยกับการสื่อสารนานาชนิดมากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   6.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) เสาะแสวงหารายละเอียดเกี่ยวกับนวัตกรรมมากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   7.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง นวัตกรรมดีกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   8.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) เป็นผู้ที่มีความคิดทันสมัยกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

 

          ลักษณะบุคลิกส่วนตัว : สรุปได้ดังนี้

                   1.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) เป็นผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับของดั้งเดิม เท่ากับประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   2.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) สามารถมองเห็นภาพในจินตนาการและมองทะลุเหตุการณ์ที่คลุมเครือ  สับสนได้ดีกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   3.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีทัศนคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   4.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) มีทัศนคติที่ดีต่อ

ความคิดทางวิทยาศาสตร์มากกว่าประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

                   5.  ประชากรกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมก่อนผู้อื่น (Early adopters) ไม่เชื่อโชคลางการกำหนดโชคชะตาของไสยศาสตร์เท่ากับประชากรในกลุ่มผู้ยอมรับนวัตกรรมหลังผู้อื่น (Later  adopters)

 

การเผยแพร่และการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีในกรณีของประเทศไทย
          1. การเผยแพร่ระบบการจัดการศึกษาใหม่ ซึ่งเรียกว่า การปฏิรูปการศึกษาเป็นการเผยแพร่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและระบบ มีจุดมุ่งหมายให้เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับของ Macro Level โดยใช้กระบวนการแบบ Top Down หรือสั่งการลงมาโดยใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายการศึกษาเป็นตัวนำ ผู้บริหารระดับสูงใช้วิธีการคิดแบบกลุ่ม Determinist และดำเนินการตามทฤษฏี Developer Based Theories และ Systemic Change Theories

          2. การเผยแพร่วิธีการเรียนการสอนแบบ ผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นการเผยแพร่เพื่อหวังผลให้เกิดขึ้นกับครูผู้สอนในห้องเรียน ซึ่งต้องการให้เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ Micro level ในระยะแรกใช้กระบวนการเผยแพร่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบ Bottom Up ตามแนวคิดของกลุ่ม Instrumentalist โดยใช้ทฤษฎี Adopter-based Theories และ Product Utilization Theories แต่ต่อมามีการอ้างบทบัญญัติของกฎหมายเป็นตัวนำในการเปลี่ยนแปลง และมีหลักแนวคิดเชื่อถือว่านวัตกรรมนี้เป็นสิ่งดีงามตามแบบของ Determinist และละทิ้งแนวคิดที่ยึดสภาพและความต้องการของบุคคลและสังคม คือ ครู นักเรียน โรงเรียน ทำให้แนวคิดของ Instrumentalist ไม่ได้รับการส่งเสริมและหันกลับไปดำเนินการตามทฤษฎี Developer-based Theories และ Systemic Change Theories และหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอนทั้งหมดซึ่งจะกลายเป็นระดับ มหภาค ซึ่งผิดธรรมชาติของการเรียนการสอนที่มีการวิจัยยืนยันซ้ำๆ แล้วว่า ไม่มีวิธีการสอนใดดีที่สุดที่ใช้ได้ดีกับทุกเนื้อหา ทุกกลุ่มผู้เรียน และในทุกสถานการณ์ของการเรียนการสอน
          3. การเผยแพร่นวัตกรรม ห้องเรียนอัจฉริยะกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ให้ทุนวิจัยการเผยแพร่นวัตกรรม โดยการให้ดำเนินการทดลองใช้ห้องเรียนอัจฉริยะที่มีระบบคอมพิวเตอร์และเครือ ข่ายอินเตอร์เน็ตช่วยในการเรียนรู้ของนักเรียน โครงการนี้ได้ทดลองใช้ในจังหวัดนครพนม เป็นการเผยแพร่โดยต้องการให้เกิดผลในระดับ Micro Level และสร้างแรงผลักดันให้เกิดการยอมรับนวัตกรรมนี้ในระดับล่างขึ้นมาหรือเป็น แบบ Bottom Up และให้ความสำคัญกับแนวคิดของกลุ่ม Instrumentalist ที่มองเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ การจะใช้หรือไม่ใช้เป็นการตัดสินใจอยู่บนความต้องการ และความพร้อมของบุคคล ไม่มีการบังคับและไม่ใช้อำนาจกฎหมายเข้ามาเป็นตัวนำให้เกิดการยอมรับ เป็นการดำเนินการตามแบบ Adopter-based Theories และ Product Utilization Theories

          4. การเผยแพร่นวัตกรรม ระบบทวิภาคีกรมอาชีวศึกษา ได้เผยแพร่การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา โดยนำเอาระบบ Dual System ของประเทศสหพันธรัฐเยอรมนีเข้ามาทดลองใช้ การเผยแพร่ระบบทวิภาคีนี้ใช้แนวคิดแบบ Top Down สั่งการลงไปให้ปฏิบัติ ขณะเดียวกันพยายามสร้างความนิยมตามแบบของ Determinist ว่า ระบบนี้ดีงามและได้ผลมาแล้วในสังคมอื่นโดยต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิง ระบบและโครงสร้างของการบริหารจัดการการอาชีวศึกษาของประเทศให้เป็นตามแบบ ประเทศสหพันธรัฐเยอรมนี การดำเนินการเผยแพร่ใช้แนวคิดและวิธีการตามทฤษฎี Developer-based Theories และ Systemic Change Theories และใช้กระบวนการให้เกิดการยอมรับ 5 ขั้นตาม The Theory of Perceived Attributes แต่อย่างไรก็ตามการยอมรับนั้นมีน้อยมาก และระบบสังคมหรือ Social System ของประเทศไทยและประเทศสหพันธรัฐเยอรมนีต่างกันจึงติดขัดในเรื่อง Compatibility

          5. การเผยแพร่การใช้แป้นพิมพ์แบบ ปัตตะโชติแป้นพิมพ์แบบนี้ได้รับการทดลองและยืนยันผลของการใช้พิมพ์ด้วยระบบสัมผัสจาก สภาวิจัยแห่งชาติว่า รวดเร็วกว่าแบบเกษมณี 28.6% แต่อย่างไรก็ตามแป้นพิมพ์แบบ เกษมณีซึ่งใช้อยู่เดิมนั้นก็สามารถทำงานได้ และคนก็เคยชินกับ เกษมณีแล้ว จึงยากต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งๆ ที่ใช้การสั่งการแบบ Top Down ให้เปิดสอนรายวิชาพิมพ์ดีดด้วยแป้นพิมพ์แบบ ปัตตะโชติและใช้วิธีการสั่งซื้อเครื่องพิมพ์ที่มีแป้นพิมพ์แบบ ปัตตะโชติให้กับโรงเรียนที่สอนพิมพ์ดีด แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่อย่างไรก็ตามยังมีคนกลุ่มหนึ่งใช้แป้นพิมพ์แบบนี้อยู่ แต่เป็นกลุ่มน้อยในประเทศไทย จะเห็นได้ว่าปัญหาการยอมรับอยู่ที่ Compatibility และ Relative Advantage เป็นสาระสำคัญของการปฏิเสธนวัตกรรมนี้ เป็นการล้มเหลวในการใช้แนวคิดของกลุ่ม Determinist ที่เชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดีกว่าจะทำให้เกิดการยอมรับและไปทดแทนเทคโนโลยีที่ ด้อยกว่า และดำเนินการตามทฤษฎี Developer-based Theories และ Systemic Change Theories ที่ไม่เห็นว่า คน คือปัจจัยสำคัญในการที่จะทำให้เกิดการยอมรับและเปลี่ยนแปลง

          6. การเผยแพร่ ระบบประกันคุณภาพการเผยแพร่มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบและโครงสร้างของวิธีทำงานใน ระดับ Macro level โดยใช้แนวทางของการสร้างความยอมรับในเชิงวิชาการว่าดีงามก่อนตามแนวของกลุ่ม Determinist หลังจากพบว่า การสร้างความยอมรับให้เกิดขึ้นจาก Bottom Up ไม่ได้ผลจึงหันมาใช้วิธีการ Top Down สั่งการให้ดำเนินการจากผู้มีอำนาจ แล้วใช้กฎหมายเป็นตัวนำอีกเช่นเคย ส่วนนวัตกรรมอื่นๆ ที่มีลักษณะเดียวกันในด้านของคุณภาพ ได้แก่ ระบบ QCC ระบบ ISO และรวมทั้ง 5ส มีความพยายามให้เกิดผลในลักษณะ Bottom Up ในระดับ Micro level การยอมรับนวัตกรรมเหล่านี้มีลักษณะเป็นรูปตัว S ตามทฤษฎีอัตราการยอมรับ (The Theory of the rate of Adoption)

          7. การเผยแพร่เทคโนโลยีการเรียนแบบ “E-Learning” การเผยแพร่ใช้แนวคิดของ Instrumentalist เป็นฐาน ตามทฤษฎี Adopter-based Theories และพยายามทำให้เกิดขึ้นในระดับ Micro Level ก่อน ตามความพร้อมของแต่ละสถานศึกษา ซึ่งเป็นแบบ Bottom Up การยอมรับเทคโนโลยีนี้มีการยอมรับตามทฤษฎีของความเป็นนวัตกรรมในเอกัตบุคคล (The Individual Innovativeness Theory) ซึ่งได้แยกกลุ่มผู้ยอมรับและผู้ใช้นวัตกรรมเป็น 5 กลุ่มตามทฤษฎีนี้ และใช้กระบวนการเผยแพร่ตามทฤษฎี Product Utilization Theories และใช้กระบวนการให้เกิดการยอมรับ 5 ขั้นตาม The Theory of Perceived Attributes

          8. การเผยแพร่เทคโนโลยีในรูปของอุปกรณ์ เครื่องมือที่นำมาใช้ในการทำงานของนักเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์แบบ Laptop, PDA, CD, DVD, โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phone) และ Flash Memory เป็นต้น เทคโนโลยีเหล่านี้มีกลุ่ม Utopian ในแนวของ Determinist เป็นผู้ยอมรับเทคโนโลยีประเภทนี้มาก แต่ก็ยังมีกลุ่ม Dystopian อยู่บ้าง ถึงจะมีจำนวนไม่มากก็ตาม ซึ่งเป็นการดำเนินการเผยแพร่ตามทฤษฎี Developer-based Theories และ Product Utilization Theories

 

ขั้นตอนในการเผยแพร่นวัตกรรมการศึกษา

          Hall (1974 : 12-15) กล่าวว่า การเผยแพร่เป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่การยอมรับนวัตกรรม เพราะเป็นตัวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การหรือสถาบัน ซึ่งจะมีผลทำให้ประชากรที่เกี่ยวข้องตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธ จัดเป็นกระบวนผสมผสานระหว่างกิจกรรมหลายลักษณะตั้งแต่ที่มีลักษณะคงที่และกินเวลายาวนาน กิจกรรมที่ไม่คงที่และดำเนินไปในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาหลายกิจกรรมต่อเนื่องกัน แบ่งเป็น 6 ขั้นตอน คือ

                    1. Injection เป็นขั้นตอนการนำเอาแนวความคิดหรือวิธีการใหม่เข้าไปแนะนำ ให้สมาชิกในองค์การหรือสถาบันหนึ่ง ๆ ได้รับทราบ

                    2. Examination แนวคิดหรือวิธีการใหม่ที่นำเสนอได้รับความสนใจจากสมาชิกในองค์การหรือสถาบันนั้น ๆ มีการศึกษาค้นคว้า วางแผนวิจัย ตลอดจนถึงมีการก่อรูปคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา

                    3. Preparation ผู้เกี่ยวข้องในสถาบันหรือองค์การ ตัดสินใจที่จะทดลองใช้นวัตกรรมนั้นและนำไปสู่การเตรียมการรวบรวมบุคลากร ทรัพยากรต่าง ๆ จนกระทั่ง การฝึกอบรมก่อนใช้นวัตกรรม

                    4. Sampling มีการทดลองนำนวัตกรรมไปใช้ครั้งแรก แล้วสุ่มตัวอย่างผู้ใช้บางส่วนมาให้ข้อมูลเพื่อการศึกษา พิจารณาผลการใช้ที่ผ่านมา

                    5. Spread เป็นการกระจายหรือขยายผลของนวัตกรรมที่ได้รับการทดลองใช้ และได้ผลดีไปสู่ประชากรกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่เชื่อถือได้ว่ามีศักยภาพพอเพียงต่อการใช้นวัตกรรมนั้น

                    6. Institutionalization นวัตกรรมนั้นได้รับการยอมรับและมีการนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน กลายเป็นแนวปฏิบัติที่แพร่หลายจนเป็นปกติวิสัยของการปฏิบัติโดยสมาชิกทั้งหมดหรือ

 

 

 

บทที่  2

ระบบการศึกษาทางไกล

 

          การศึกษาทางไกล เป็นความพยายามของนักการศึกษาในการที่จะจัดการศึกษาได้แก่ผู้ที่ไม่สามารถจะเข้ารับการศึกษาตามปกติในชั้นเรียนได้ นอกจากนี้แล้วการที่วิทยาการได้ก้าวหน้าไปอย่างมากทำให้ผู้ที่อยู่นอกระบบการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน  ดังนั้นการจัดการศึกษาทางไกลจึงมีบทบาทต่อการศึกษาของประเทศเป็นอย่างสูง

 

ความหมายของการศึกษาทางไกล

          โฮน์นิชและคณะ (1993:282)  ได้ให้ความหมายของการศึกษาทางไกลว่า"เป็นการ
ศึกษาที่มีลักษณะที่ผู้เรียนอยู่ห่างไกลจากผู้สอนโปรแกรมการเรียนได้รับการจัดวางเป็นระบบ มีการใช้สื่อการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและการสื่อความหมายเป็นไปแบบสองทาง"

          บอร์ก  โฮล์มเบิร์ก (1989:127)  กล่าวว่า"หมายถึง การศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนมิได้มา
เรียนหรือสอนกันซึ่ง ๆ หน้า แต่เป็นการจัดโดยระบบสื่อสารแบบสองทาง ถึงแม้ผู้เรียนและผู้สอนจะไม่อยู่ในห้องเดียวกันก็ตาม"

          วิจิตร  ศรีสอ้าน (2529:5-7)  กล่าวว่า "หมายถึงระบบการเรียนการสอนที่ไม่มีชั้นเรียน  แต่อาศัยสื่อประสมอันได้แก่สื่อทางไปรษณีย์ วิทยุกระจายเสียง  วิทยุโทรทัศน์  และการสอนเสริม  รวมทั้งศูนย์บริการการศึกษาเป็นหลัก  โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองอยู่กับบ้านไม่ต้องมาเข้าชั้นเรียนตามปกติ"

          การศึกษาทางไกล  (Distance Education)  หมายถึง  ระบบการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ใกล้กันแต่สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยอาศัยสื่อการสอนในลักษณะของสื่อประสมโดยการใช้สื่อต่างๆร่วมกัน  อาทิเช่น  ตำราเรียน  เทปเสียง  แผนภูมิ  หรือโดยการใช้อุปกรณ์ โทรคมนาคมและสื่อมวลชนประเภทวิทยุและโทรทัศน์มาช่วยในการแพร่กระจายการศึกษาไปยังผู้ที่ปรารถนาจะเรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางทั่วทุกท้องถิ่น

          การศึกษาทางไกล  มีคําที่ใชเรียกอยางแพรหลายอยู  3  คําคือ  การศึกษาทางไกล (Distance  Education)  การสอนทางไกล (Distance Teaching) และ การเรียนทางไกล (Distance Learning)  ซึ่งไมวาจะใชคําเรียกใดก็จะมีความหมายใกลเคียงกัน  แตมีรายละเอียดปลีกยอยที่แตกต่างกัน  ดังนี้คือ

          1.  การศึกษาทางไกล (Distance Education)  หมายถึง  ระบบของการจัดการศึกษาแบบหนึ่ง

ที่ผูสอนและผูเรียนไมตองมานั่งอยูในหองเรียน  คืออยูหางไกลจากกัน  การจัดการเรียนไดอาศัยสื่อประเภทตางๆ  ที่ชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรู  เชน  สิ่งพิมพเครื่องมือจักรกล  และอุปกรณอิเล็กทรอนิกสตางๆ  ความหมายของการศึกษาทางไกลจึงมองความสําคัญหรือมีจุดเนนที่ระบบของการใหการศึกษาที่เนนปฏิสัมพันธระหวางผูสอนกับผูเรียน

          2.  การสอนทางไกล (Distance Teaching)  หมายถึง  กระบวนการเรียนการสอนที่มีความยืดหยุนในเรื่องของสถานที่  เวลา  โดยถือเอาความสะดวกและความพรอมของผูเรียนเปนหลัก ลักษณะการสอนที่สําคัญคือ  เปดโอกาสในการเลือกวิธีการเรียนการสอนไดอยางกวางขวาง  ไมวาผูเรียนจะอยูที่ใด  มีการใชสื่อการเรียนหลายๆอยางผูเรียนไมตองมานั่งเรียนในหองเรียนและไมตองมีครูสอนประจํา

          3.  การเรียนทางไกล  (Distance Learning)  หมายถึง  รูปแบบทางการเรียนรูที่ผูเรียนไดรับความรูและประสบการณจากสื่อการเรียนประเภทตางๆ  ผานทางระบบการสื่อสารมวลชนโดยมิ

ตองเขาไปนั่งเรียนในหองใดหองหนึ่งหรือที่ใดที่หนึ่ง การเรียนรูทางไกลจึงมีจุดเนนที่บุคคลแสวงหาความรูดวยตนเองจากสื่อสารมวลชนประเภทตางๆ  นั่นเอง

 

หลักการของการศึกษาทางไกล

          การศึกษาทางไกลเป็นระบบการศึกษาที่ยึดหลักการในเรื่องต่างๆดังนี้

1.  การศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งถือเสมือนว่าการศึกษาเป็นปัจจัยที่ห้าของการดำรงชีพจึงสมควรใช้การศึกษาเป็นปัจจัยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยไม่จำเป็นต้องแยกชีวิตออกจาการเรียนออกจากชีวิตการทำงาน การศึกษาจึงน่าจะเป็นกระบวนการที่สอดแทรกอยู่ได้ในวิถีการดำเนินชีวิตปกติ  ผู้ที่สนใจสามารถเรียนเมื่อไรก็ได้โดยคำนึงถึงความพร้อม ความถนัด ความต้องการและความสนใจ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อเป็นอาชีพการงาน

2.  การให้โอกาสเท่าเทียมกันทางการศึกษา  เป็นทางเลือกและทางออกไปสู่อุดมคติในการแก้ปัญหาเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นการกระจายและขยายโอกาสให้ผู้ที่ต้องละทิ้งการศึกษาก่อนจบหลักสูตรหรือผู้ที่ไม่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนและผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมได้มีโอกาสได้ศึกษาต่อเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการศึกษาตลอดชีวิต

3.  ส่งเสริมการศึกษามวลชน  เป็นการให้การศึกษาแก่มวลชนในระดับต่างๆโดยการใช้สื่อมวลชนหรือสื่ออื่นๆร่วมกันในรูปของสื่อหลายแบบรวมทั้งการใช้สื่ออุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆด้วย

 

ลักษณะสำคัญของการศึกษาทางไกล

          ระบบการศึกษาทางไกลมีลักษณะของการจัดการศึกษาที่ต่างไปจากระบบการเรียน
การสอนโดยปกติ  ซึ่งอาจจะสรุปลักษณะที่สำคัญของระบบการศึกษาทางไกลได้ดังนี้

1.  ผู้เรียนผู้สอนไม่อยู่ประจันหน้ากัน  เนื่องจากผู้เรียนไม่สามารถมาเข้าชั้นเรียน  โดยปกติได้ดังนั้นผู้เรียนจะเรียนด้วยตนเองที่บ้าน  โดยอาจมาพบผู้สอนในบางเวลา

2.  เน้นผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลางของการเรียน  ผู้เรียนเป็นผู้เลือกวิชาและกำหนดเวลาเรียนและกิจกรรมการเรียนของตนเอง

3.  สื่อการสอนเป็นสื่อหลักในกระบวนการเรียนการสอน  ผู้สอนจะเป็นสื่อหลัก  ในการศึกษาทางไกลสื่อหลักจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์  วิทยุโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียง  ฯลฯ  เป็นสื่อหลัก

 

สื่อการสอนกับการศึกษาทางไกล

          เนื่องจากผู้เรียนต้องศึกษาด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่  ดังนั้นสื่อการสอนจึงมีความสำคัญยิ่ง
สำหรับการศึกษาทางไกล  ซึ่งสื่อการสอนที่ใช้อาจแบ่งออกได้เป็น  3  ประเภท ได้แก่

1.  สื่อสิ่งพิมพ์  เป็นสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ได้แก่  เอกสารตำรา  แบบฝึกปฏิบัติ  ผู้เรียนจะอาศัยสื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อหลักเนื่องจากราคาถูก  เก็บได้นานและไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประกอบ

2.  สื่อโสตทัศนูปกรณ์  อิเล็กทรอนิกส์นับได้ว่าเป็นสื่อรองจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่จะช่วยในการเสริมความรู้ในกระบวนการเรียนของผู้เรียน  โดยอาจจะเป็นการสอนทางโทรทัศน์  เทปเสียงบรรยาย  เทปวีดิทัศน์ รายการวิทยุกระจายเสียง

3.  สื่ออิเล็กทรอนิกส์และระบบโทรคมนาคม  เนื่องจากการพัฒนาการของอิเล็กทรอนิกส์และระบบโทรคมนาคมเป็นไปอย่างรวดเร็ว  จึงมีการนำเอามาใช้ในการจัดการศึกษาทางไกล  โดยใช้ระบบดาวเทียมและท่อใยแก้วนำแสงในการส่งข่าวสารข้อมูล  มีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง

 

การศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบกับการศึกษาทางไกล

          1.  การศึกษาในระบบ  การศึกษาทางไกลเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัด  การศึกษาทั่วการศึกษา  ในระบบและการศึกษานอกระบบมีหลายหน่วยงานที่จัดการศึกษาทางไกล ทั้งในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษาและระดับอุดมศึกษา การศึกษาในระบบโดยทั่วไปก็คือ  การที่ผู้เรียนมาเรียนในชั้นเรียนปกติมีผู้สอนอยู่ในชั้นเรียน สำหรับการศึกษาทางไกลมีลักษณะที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้อยู่ประจันหน้ากัน  ผู้สอนจะอยู่ห่างไกลจากชั้นเรียนออกไป  การศึกษาทางไกลสำหรับการศึกษาในระบบระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ซึ่งดำเนินการโดยกรมสามัญศึกษา  และในระดับอุดมศึกษาได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร  สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี  เป็นต้น

          2.  การศึกษานอกระบบ  การศึกษานอกระบบจะเป็นลักษณะของการศึกษาที่ไม่มีเวลาเรียนแน่นอนตายตัว  ไม่มีการกำหนดอายุของผู้เรียน  ผู้เรียนจะมาเข้าชั้นเรียนหรือไม่ก็ได้  การเรียนการสอนอาจจะมาพบกัน   ศูนย์บริการวิชาการหรืออาจจะเรียนผ่านรายการโทรทัศน์ที่บ้าน  จะมีการสอนในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา  ซึ่งดำเนินการโดยกรมการศึกษานอกโรงเรียน  ส่วนในระดับอุดมศึกษาก็ได้แก่  สถาบันราชภัฏสวนดุสิต  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  เป็นต้น

 

ข้อดีและข้อจำกัดของการศึกษาทางไกล

ข้อดีของการศึกษาทางไกล

          ดังกล่าวแล้วว่ามีการจัดการศึกษาทางไกลสำหรับการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ  ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า  การศึกษาทางไกลมีข้อดีหรือมีประโยชน์ต่อการศึกษาต่าง   ในแง่มุม  ดังนี้    1.  ผู้เรียนได้เรียนกับผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญในเนื้อหานั้น ๆ

          2.  สามารถบันทึกคำบรรยายหรือการสอนส่งผ่านคอมพิวเตอร์  หรือโทรทัศน์ไปยังผู้เรียนได้โดยสะดวก

          3.  ผู้เรียนที่อยู่ในการศึกษานอกระบบ  ไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถานศึกษาเหมือนปกติ และยังสามารถทำงานในสถานประกอบของตนเองได้

          4.  ตอบสนองความต้องการในการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาคน  และพัฒนางานในวิชาชีพของบุคคลได้  โดยไม่ต้องเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาในระบบปกติ

 

ข้อจำกัดของการศึกษาทางไกล

          1.  การใช้โทรทัศน์เป็นการสื่อสารทางเดียวผู้เรียนผู้สอนไม่สามารถพูดจาโต้ตอบกันได้

          2.  โทรทัศน์มิใช่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แทนผู้สอนได้อย่างสิ้นเชิง ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องศึกษาบทเรียนเพิ่มเติมจากสื่ออื่น  ๆประกอบด้วย  หรือผู้สอนต้องเป็นผู้ช่วยเหลือแนะแนวทางหรืออธิบายเพิ่มเติมประกอบการชมรายการหรือ  บทเรียนทางโทรทัศน์ด้วย

          3.  อาจเกิดอุปสรรคในด้านการสื่อสาร  เช่นกระแสไฟฟ้าขัดข้อง  หรือสิ่งแวดล้อมของผู้เรียนไม่เอื้ออำนวย  ทำให้ขาดสมาธิในการเรียน

          4.  การผลิตรายการอาจไม่ดีพอ  ทำให้การสอนไม่น่าสนใจเท่าที่ควร

          5.  จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการจัดซื้ออุปกรณ์ที่สามารถถ่ายทำและใช้เทคนิควิธีการในการผลิตรายการที่มีคุณภาพ

          นอกจากชุดการสอน การสอนแบบโปรแกรม  และการศึกษาทางไกลแล้ว  ยังมีนวัตกรรม  อีกมากมายที่นำมาใช้ในการศึกษาอาทิเช่น  การสอนเป็นคณะ  (Team  Teaching)  การสอนแบบไม่แบ่งชั้น  (Non-graded  school)  การสอนแบบจุลภาค  (Micro teaching)  คอมพิวเตอร์ทางการศึกษา  (Computer  in  Education)  ศูนย์การเรียน  (Learning  Center)  และห้องเรียนเสมือนจริง  (Virtual  Classroom)  เป็นต้น  นวัตกรรมที่กล่าวถึงมีการนำมาทดลองใช้ในการจัดการศึกษา มีการวิจัยแล้วว่าทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจริงแต่งเนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านความรู้ในการนำไปใช้ตลอดจนงบประมาณจึงจะทำให้นวัตกรรมดังกล่าวขาดการพัฒนาและหายไปในที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่  3

โทรทัศน์การศึกษา

 

          โทรทัศน์เป็นสื่อมวลชนที่มีประสิทธิภาพยิ่งประเภทหนึ่ง  เนื่องจากเป็นสื่อที่ส่งได้ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว  และเสียง  เมื่อมีการนำโทรทัศน์มาใช้ในการศึกษา  จึงทำให้เกิดคำว่า  โทรทัศน์การศึกษา ขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนหรือผู้รับทางบ้าน  และ โทรทัศน์การสอนเพื่อสอนเนื้อหาตามหลักสูตรแต่ละวิชา

          สถานีวิทยุโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ Distance learning Television (DLTV) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2539 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 50 ปี โดยจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม ถ่ายทอดสดหลักสูตรประถมศึกษา มัธยมศึกษา และสายวิชาชีพให้แก่โรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษา รวมทั้งการออกอากาศรายการภาคภาษาอังกฤษทางช่อง 81-95 (UBC) …….บริหารงานโดย มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ Distance learning foundation (DLF)

          การใช้โทรทัศน์การศึกษาและการสอนเราสามารถใช้โทรทัศน์เพื่อการศึกษาและการสอนได้ทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

          1. การสอนโดยตรง  เป็นการใช้โทรทัศน์เพื่อเสนอรายการที่จัดทำขึ้นตามเนื้อหาในหลักสูตรในรูปแบบของโทรทัศน์การสอน  การสอนโดยตรงนี้สามารถกระทำได้ทั้งในโทรทัศน์ระบบวงจรเปิดและวงจรปิด  ถ้าเป็นการสอนในระบบวงจรเปิดและเป็นการออกอากาศจากสถานีส่งมายัง  ห้องเรียน การสอนลักษณะนี้จะมีครูประจำชั้นคอยเป็นพี่เลี้ยงควบคุมการเรียนและตรวจงานปฏิบัติของผู้เรียนในห้องเรียนนั้น  แต่ถ้าเป็นการส่งในระบบวงจรปิด  ผู้สอนที่สอนอยู่ในห้องเรียนหรือในห้องส่งจะเป็นผู้รับผิดชอบผู้เรียนทั้งหมดด้วยตนเองโดยไม่มีผู้อื่นควบคุมการเรียนในแต่ละห้อง  การใช้โทรทัศน์ในการสอนสามารถใช้ได้ดังนี้

                   1.1  ใช้เป็นเครื่องมือในการสอน  โดยมีการใช้เป็นชุดการสอนที่สมบูรณ์  เนื่องจากมีทั้งภาพและเสียง  ซึ่งสามารถอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ในทุกพิสัย  การใช้แบบนี้จะใช้ร่วมกับสื่ออื่นด้วยก็ได้  หรืออาจจะใช้เป็นสื่อการสอนในวิธีการสอนเป็นคณะโดยการเชิญวิทยากรอื่นมาร่วมสอนด้วย  หลักสำคัญในการใช้โทรทัศน์เป็นเครื่องมือในการสอนนี้  คือ  ผู้สอนจะต้องกำหนดแผนการสอนอย่างรัดกุมเสียก่อน  และใช้โทรทัศน์โดยการสอนสดหรือใช้รายการที่บันทึกลงวีดิทัศน์ไว้มาเป็นส่วนหนึ่งของการสอนด้วย 

                   1.2  ใช้เป็นสื่อสอนแทนครู  ในกรณีที่ขาดแคลนครูผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวิชา  ก็อาจใช้โทรทัศน์เพื่อออกอากาศการสอนของครูจากห้องส่งไปยังห้องเรียนในที่ต่างๆ  ได้  การสอนนี้จะเป็นการสอนโดยตรงในแต่ละวิชา

                   1.3  ใช้เป็นสื่อเพื่อเสริมความรู้  เป็นการใช้รายการโทรทัศน์เพื่อเสริมความรู้จากเนื้อหาบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้เพิ่มขึ้นจากที่เรียนในห้องเรียน  รายการต่างๆ  เหล่านี้จะมิใช่เป็นเนื้อหา  บทเรียนโดยตรง  เช่น  รายการตอบปัญหาภาษาอังกฤษ  รายการกระจกหกด้าน  แต่จะมีสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับบทเรียนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์และความคิดแก่ผู้เรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

                   1.4  ใช้เป็นสื่อในการศึกษาระบบเปิด  โดยการใช้โทรทัศน์เป็นสื่อเพื่อดำเนินการสอนให้แก่ผู้เรียนที่อยู่ตามบ้านหรือการใช้โทรทัศน์วงจรปิดเพื่อสอนแก่ผู้เรียนที่อยู่ในห้องเรียนต่างๆในมหาวิทยาลัยก็ได้  ทั้งนี้เพราะในมหาวิทยาลัยเปิดจะมีผู้เรียนจำนวนมากทำให้นั่งเรียนในห้องเดียวกันไม่พอ  นอกจากนี้  โทรทัศน์ยังสามารถใช้ในรูปของสื่อหลักหรือสื่อเสริมในการสอนโดยตรงแก่ผู้เรียนอีกด้วยเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในสังคม  โดยการใช้โทรทัศน์เป็นสื่อในการสอน  หรือให้ความรู้ทั่วๆ  ไปแก่ผู้ที่ต้องออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดผู้เรียนกลุ่มพิเศษ  ผู้พิการทุพพลภาพที่ไม่สามารถมาโรงเรียนได้  หรือประชาชนในชนบทที่ห่างไกล ฯลฯ  เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

          2. การเพิ่มคุณค่าทางการสอน  เป็นการนำรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบทเรียนนั้นมาเสนอแก่ผู้เรียนเพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์  และเป็นการช่วยเสริมสร้างบรรยากาศทางการเรียนให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น  รายการที่นำเสนออาจเป็นการบันทึกลงแถบวีดิทัศน์ไว้  หรือเป็นรายการสดตามตารางการออกอากาศก็ได้  เช่น  สารคดีชีวิตสัตว์  การประดิษฐ์สิ่งของ  หรือการอภิปรายต่างๆ  เป็นต้น

          การใช้รายการโทรทัศน์เพื่อเสริมการสอนนี้สามารถจะช่วยในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมของการสอนในห้องเรียนที่มีทรัพยากรจำกัด  เช่น  ด้านประวัติศาสตร์  หรือเรื่องราวเหตุการณ์ระหว่างประเทศ  หรืออาจช่วยอธิบายเพิ่มเติมประกอบวิชาที่ยากแก่ครูผู้สอน  เช่น  ศิลปะ  ดนตรี วิทยาศาสตร์  ฯลฯ  ตลอดจนเป็นการนำแรงกระตุ้นจากภายนอกวิชา  เช่น วรรณคดี  ซึ่งยากแก่ผู้สอนที่จะทำให้เกิดความตื่นเต้นและแรงจูงใจในการเรียน

 

ความหมายของโทรทัศน์การศึกษา

          โทรทัศน์เพื่อการศึกษา  (Educational Television)  หมายถึง  การใช้โทรทัศน์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา เป็นการส่งรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาเชิงความรู้ด้านต่างๆให้แก่ผู้ชมโดยไม่จำกัดสถานภาพของผู้รับและสามารถนำรายการเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการประกอบการเรียนการสอนได้ แต่ถ้าเป็น โทรทัศน์เพื่อการสอนจะเป็นรายการโทรทัศน์ที่จัดเพื่อการสอนตามหลักสูตรและมีการจำกัดสถานภาพของกลุ่มผู้รับ หรืออาจกล่าวได้ว่า โทรทัศน์การศึกษาเป็นผลการนำรูปแบบและเทคนิคของสื่อโทรทัศน์มาประยุกต์ใช้ ร่วมกันเพื่อธุรกิจทางการศึกษาเป็นลักษณะหนึ่งของเทคโนโลยีการศึกษาโดย รายการเหล่านี้จะมีเนื้อหาอย่างกว้างๆ เพื่อส่งเสริมข้อมูลทางการศึกษาโดยเฉพาะการเรียนการสอน

 

ประเภทของรายการโทรทัศน์

ประเภทของรายการโทรทัศน์แบ่งได้เป็น  3  ประเภท

          1.  รายการโทรทัศน์เพื่อการค้า  (Commercial Television : CTV)  เป็นรายการที่ให้ความบันเทิงและธุรกิจโฆษณา

          2.  รายการโทรทัศน์การศึกษา  (Educational Television : ETV)  เป็นรายการที่ให้ความรู้ทั่วไปในด้านต่างๆ  โดยไม่จำกัดความรู้ของผู้ชมหรือเฉพาะเจาะจงบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

          3.  รายการโทรทัศน์การสอน  (Instructional Television : ITV)  เป็นรายการที่จัดขึ้นตามหลักสูตรทั้งในระบบ  และนอกระบบโรงเรียน  เพื่อเสนอบทเรียนแก่ผู้เรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  ข้อดีและข้อจำกัดในการใช้โทรทัศน์การศึกษา

 

ระบบการแพร่ภาพและเสียงของโทรทัศน์

ระบบการแพร่ภาพและเสียงของโทรทัศน์แบ่งได้เป็น  2  ระบบ  คือ

          1.  การแพร่ภาพและเสียงในระบบวงจรเปิด  (Open-Circuit Television  หรือBroadcasting Television)  ซึ่งแบบได้เป็น  2  ระบบย่อย  คือ

                   1.1  ระบบ  VHF  (Very High Frequency)  ใช้ในการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์เพื่อความบันเทิงและการค้า

                   1.2  ระบบ  UHF  (Ultra High Frequency)  ใช้ในการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์ที่มิใช่เพื่อการค้าและสถานีที่ส่งตามสายเคเบิล  การแพร่ภาพและเสียงในระบบวงจรเปิด  (Closed-Circuit Television:CCTV)  เป็นการแพร่ภาพและเสียงไปตามสายแทนการออกอากาศ  เช่น  โทรทัศน์วงจรปิดที่ใช้ในมหาวิทยาลัย

 

 

หน่วยงานที่ดำเนินการด้านโทรทัศน์เพื่อการศึกษา

          ปัจจุบันมีหน่วยงานทางด้านการศึกษาที่ดำเนินการผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาสำหรับ กลุ่มเป้าหมาย ทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้แก่

          1.  ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา บริการให้แก่ กลุ่มเป้าหมายในโรงเรียน และกลุ่มเป้าหมายนอกโรงเรียน ทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา รวมทั้งการศึกษาตามอัธยาศัยสำหรับประชาชนทั่วไป โดยมีลักษณะรายการโทรทัศน์ที่ผลิตแยกตามลักษณะ การจัดการศึกษา ดังนี้

                   1.1รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาตามหลักสูตร ดำเนินการตั้งแต่วางแผนการจัด ผลิต สรรหา ศึกษา วิเคราะห์ ทดลองต้นแบบรายการ พัฒนารายการโทรทัศน์ และวิดีทัศน์เพื่อการศึกษาพร้อมสื่อประกอบ ตามหลักสูตร ทุกระดับการศึกษา ทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน สำหรับบริการนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมทั้งการผลิต และพัฒนารายการ โทรทัศน์ และวิดีทัศน์ เพื่อการศึกษา เพื่อส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานการจัดการเรียน การสอนตาม หลักสูตรสำหรับกลุ่มเป้าหมายคนพิการ พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตสื่อการศึกษาเพื่อคนพิการด้วย

                   1.2  รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาตามอัธยาศัย ดำเนินการจัดผลิต และพัฒนารายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ตามอัธยาศัย เพื่อส่งเสริมให้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตตั้งแต่การศึกษาขั้นก่อน ปฐมวัย จนถึง การศึกษาขั้นอุดมศึกษา และส่งเสริมการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น กลุ่มคนพิการ พระ อบต. นักโทษ ชาวเขา เป็นต้น รวมทั้งจัด และผลิตรายการพิเศษเพื่อให้บริการการศึกษาแก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภายใน และภายนอกกระทรวงศึกษาธิการตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อเผยแพร่ออกอากาศทางสถานีวิทยุ โทรทัศน์เพื่อการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (ETV)  สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง  11  และ สถานีวิทยุโทรทัศน์อื่นๆ นอกจากนั้นยังจัดทำ และเผยแพร่เอกสารประกอบการรับชมรายการโทรทัศน์ รวมทั้งสำรวจ ติดตาม และประเมินผลการรับชมเพื่อพัฒนารายการ

                   1.3  รายการข่าวเพื่อการศึกษา โดยจัดสรุปข่าวในรอบสัปดาห์ และจัดทำสารคดีสั้นเชิงข่าวหรือรายการพิเศษ ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา

          2.  มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมร่วมกับกรมสามัญศึกษา  ดำเนินการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา บริการกลุ่มเป้าหมายในระบบโรงเรียน ระดับมัธยมศึกษา

          3.สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล กระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา บริการกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาของสถาบันในทุกวิทยาเขต

          4.  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ดำเนินการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาบริการกลุ่มเป้าหมายนักศึกษา ของมหาวิทยาลัย

          5.  มหาวิทยาลัยรามคำแหงดำเนินการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาบริการกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

          6.  หน่วยงานอื่นๆ ทั้งภายใน และภายนอกกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้หน่วยงานอื่นๆ ไม่ได้จัดการศึกษาโดยตรง ก็พยายามที่จะผลิตรายการเพื่อการศึกษา เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของตน

 

การเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา

          ปัจจุบันการเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ดำเนินการดังนี้

          1.รายการที่จัดผลิตโดยศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการเผยแพร่ใน  3  ลักษณะดังนี้

                   1.1  ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง  11  โดยจัดออกอากาศรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กลุ่มเป้าหมายสามารถรับชมได้ทุกจังหวัด

                   1.2ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ  (ETV)  ออกอากาศด้วยระบบ  DTH  ใช้ชุดรับสัญญาณจากดาวเทียมไทยคมโดยตรงในระบบ Ku-Band (ระหว่างเวลา  06.00-  22.00  น.)

                   1.3  การเผยแพร่ด้วยระบบการกระจายสื่อการศึกษา โดยประสานร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนจัดสำเนารายการเพื่อการศึกษาในรูปแบบวิดีทัศน์จัดส่งตรงไปสู่สถานีปลายทาง คือ ศูนย์การเรียนชุมชน ซึ่งกระจายอยู่ทุกตำบลทั่วประเทศ
ประมาณ  7,500  แห่ง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้ใช้เป็น สื่อประกอบการศึกษาด้วยตนเอง 

          2.รายการที่จัดผลิตโดยมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ  การศึกษาขั้นพื้นฐานแพร่ภาพการออกอากาศ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อ การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม ย่านความถี่  Ku-Bandจำนวน  7  ช่องสัญญาณ

          3.รายการที่จัดผลิตโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กระทรวงศึกษาธิการ แพร่ภาพออกอากาศโดยการเช่า ช่องสัญญาณเทียม ย่านความถี่  C-Band  จำนวน  1  ช่องสัญญาณ

          4.  รายการที่จัดผลิตโดยมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แพร่ภาพออกอากาศโดยการเช่าเวลาออกอากาศของ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง  11  กรมประชาสัมพันธ์ และมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมโรงเรียนวังไกลกังวลหัวหิน

          5.รายการที่จัดผลิตโดยมหาวิทยาลัยรามคำแหง แพร่ภาพออกอากาศโดยการเช่าเวลาออกอากาศของ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง  11  กรมประชาสัมพันธ์

 

ประโยชน์ของโทรทัศน์เพื่อการศึกษา

          1.  สามารถใช้ในสภาพที่ผู้เรียนมีจำนวนมากและผู้สอนมีจำนวนจำกัด

          2.  เป็นสื่อการสอนที่สามารถนำสื่อหลายอย่างมาใช้ร่วมกันได้

          3.  เป็นสื่อที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนได้โดยการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้สอนทางโทรทัศน์

          4.  สามารถสาธิตได้อย่างชัดเจน

 

ข้อจำกัดของโทรทัศน์เพื่อการศึกษา

          1.  โทรทัศน์เป็นการสื่อสารทางเดียวผู้เรียนและผู้สอนไม่สามารถพูดจาโต้ตอบกันได้

          2.  เกิดอุปสรรคทางด้านการสื่อสาร เช่น กระแสไฟฟ้าขัดข้อง หรือสิ่งแวดล้อมของผู้เรียนไม่เอื้ออำนวย

          3.  จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการจัดซื้ออุปกรณ์ที่ผลิตรายการที่มีคุณภาพได้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่  4

ดาวเทียมเพื่อการศึกษา

 

          แนวคิดของการสื่อสารผ่านดาวเทียมเกิดจากจินตนาการของนักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษชื่อ อาเทอร์ ซี. คลาก ที่ได้เขียนบทความเกี่ยวกับข่ายงานที่  ถ่ายทอดมาจากนอกโลก  พัฒนาการของการสื่อสารผ่านดาวเทียมได้รับการกระตุ้นขึ้นในช่วง พ.ศ.  2503-2512  เมื่อองค์การนาซา ได้พยายามส่งคนไปลงบนดวงจันทร์ จึงจำเป็นต้องสร้างข่ายงานโทรคมนาคมเพื่อติดต่อยานอวกาศและถ่ายทอดข้อมูลระหว่างโลกและห้วงอวกาศ จึงทำให้สหรัฐอเมริกาจัดตั้งองค์กรเอกชนคอมแซต ขึ้นเพื่อการสร้างข่ายงาน และประจวบกับระยะเวลานั้นด้วยความร่วมมือขององค์การสหประชาชาติที่ประชุมของรัฐบาลประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์การดาวเทียมเพื่อการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือเรียกว่า  อินเทลแซต  ขึ้นเพื่อทำหน้าที่จัดการและดำเนินการโทรคมนาคมระหว่างประเทศผ่านดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์และในปี พ.ศ.  2508  ได้มีการส่งดาวเทียมชุดอินเทลแซตขึ้นไปในอวกาศเป็นครั้งแรก

 

การทำงานของดาวเทียม

          ดาวเทียมมีการใช้ช่องรับส่งผ่านสัญญาณ ซึ่งเป็นอุปกรณ์การสื่อสารภายในดาวเทียมที่มีชุดของเครื่องส่งและเครื่องรับเพื่อใช้ในการหน่วงสัญญาณที่ส่งมาและรับมาจากพื้นโลกโดยสถานีภาคพื้นดินจะส่งสัญญาณขึ้นไปยังดาวเทียม เรียกว่า ความถี่เชื่อมโยงขึ้นเมื่อดาวเทียมได้รับสัญญาณแล้ว ช่องรับส่งผ่านสัญญาณจะทำการขยายสัญญาณนั้นและเปลี่ยนความถี่ที่จะส่งลงมาใหม่ให้แตกต่างไปจากความถี่ที่ส่งไป ความถี่ที่ส่งกลับลงมายังสถานีภาคพื้นดินจะเรียกว่า  ความถี่เชื่อมโยงลง  ส่วนบริเวณพื้นที่บนโลกที่สามารถรับสัญญาณดาวเทียมได้เรียกว่า เขตคลุมสัญญาณ

 

ประเภทของดาวเทียม

          1.  ดาวเทียมสื่อสา

          2.  ดาวเทียมสำรวจ

          3.  ดาวเทียมพยากรณ์อากาศ

          4.  ดาวเทียมทางการทหาร

          5.  ดาวเทียมด้านวิทยาศาสตร์

 

 

ความถี่ของดาวเทียม

          แถบความถี่ของดาวเทียมที่นิยมใช้กันทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

          1.  ดาวเทียม  ซี-แบนด์  แพร่สัญญาณด้วยพิสัยความถี่ตั้งแต่  5.925-6.425  จิกะเฮิรตซ์ในการเชื่อมโยงขึ้น และ  3.7-4.2  จิกะเฮิรตซ์ในการเชื่อมโยงลง

          2.  ดาวเทียม  เคยู-แบนด์  เป็นดาวเทียมที่มีพลังสูง สามารถส่งความถี่ได้ในพิสัยความถี่ตั้งแต่  14.0-14.5  จิกะเฮิรตซ์ในการเชื่อมโยงขึ้น และ  11.7-12.2  จิกะเฮิรตซ์ในการเชื่อมโยงลง

          3.  ดาวเทียม  เค-แบนด์  หรือ  ดาวเทียมแพร่สัญญาณโดยตรง  ที่มีการทำงานในพิสัยของสเปกตรัม12.2-17.8  จิกะเฮิรตซ์

          นอกจากนี้ยังมีดาวเทียม  เอส-แบนด์  ที่ใช้ในองค์การนาซา และดาวเทียม  เอ๊กซ์-แบนด์  ใช้ในวงการทหาร

 

การใช้ดาวเทียมเพื่อการศึกษา

          นับตั้งแต่ความสำเร็จของสหรัฐอเมริกาในการส่งดาวเทียมเอทีเอส-6  ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงที่ส่งเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาโดยเฉพาะเพื่อยกระดับการศึกษาเข้าสู่ยุคอวกาศ เป็นการส่งเสริมการศึกษาให้เข้าถึงประชาชนได้ทั่วทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2517 ปัจจุบันสามารถนำเอาดาวเทียมแพร่สัญญาณโดยตรงมาใช้ในลักษณะการรับตรงจากดาวเทียม เรียกว่า ระบบดีทีเอชสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสถานีรับ

 

ประโยชน์ของการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเที่ยม

          การจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมมีประโยชน์ดังนี้

          1.  เพื่อการศึกษาในระบบโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาไปจนถึงระดับอุดมศึกษา

          2.  เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ที่อาศัยในท้องถิ่นห่างไกล

          3.  เป็นการส่งเสริมการศึกษาระบบเปิดในระดับอุดมศึกษา

          4.  เพื่อการฝึกหัดทางด้านอาชีพและเทคนิคการทำงานต่างๆ

          5.  เพื่อการศึกษาผู้ใหญ่โดยสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง

          6.  เป็นพัฒนาการของการจัดการด้านการศึกษา

 

ดาวเทียมเพื่อการศึกษาในระบบโรงเรียน

          เป็นการใช้ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมเพื่อส่งรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ เป็นการสอนแทนครูหรือเสนอการสอนในวิชาที่ขาดแคลนครู โดยจะเป็นการสอนในระบบการสื่อสารทางเดียวและการสื่อสารสองทางจะเป็นการใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมประเภทต่างๆ ร่วมกับอุปกรณ์การประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง การศึกษาในปัจจุบันจึงได้ชื่อว่า โทรคมนาคมเพื่อการศึกษาส่วนห้องเรียนจะเรียกว่า ห้องเรียนทางไกล” “ห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์หรือ ห้องเรียนทางโทรทัศน์ซึ่งมีการรับสัญญาณตรงจากดาวเทียมโดยการที่มีจานรับสัญญาณดาวเทียมของสถาบันเองเป็นการรับในรูปแบบของดีบีทีวี ซึ่งเป็นการนำเอาระบบรับตรงจากดาวเทียม (ดีทีเอช) มาใช้กับโทรทัศน์

 

ดาวเทียมเพื่อการศึกษานอกระบบโรงเรียน

          โดยการที่ผู้สอนหรือวิทยากรจะอยู่ในสถาบันการศึกษาหรือศูนย์กลางของการสอน ผู้เรียนจะอยู่รวมกันในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง แต่ก็สามารถทำการเรียนการสอน ฝึกอบรม โดยอาจใช้ระบบดีบีทีวี หรือเป็นการต่อสายเคเบิลจากสถานีรับสัญญาณดาวเทียมและใช้ร่วมกับเครื่องรับโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ลำโพง ในลักษณะการประชุมทางไกลโดยวีดีทัศน์ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมอภิปราย ปรึกษาหารือหรือถามปัญหาขัดข้องใจได้

 

การใช้สัญญาณผ่านดาวเทียมในงานห้องสมุด

          ห้องสมุดเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดข้อมูลและสารสนเทศจึงได้ชื่อว่า ท่าห้องสมุดหรือ ท่าโทรคมนาคมหมายถึง การใช้ห้องสมุดเพื่อเป็นศูนย์กลางของการสื่อสารโทรคมนาคมในการรับและส่งสารสนเทศในรูปแบบของเสียง ภาพ และตัวอักษร โดยใช้การส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมมายังสถานีรับภาคพื้นดิน และทางสถานีรับจะส่งสัญญาณผ่านเส้นใยนำแสงหรือทางคลื่นไมโครเวฟทางภาคพื้นดินไปยังห้องสมุด ท่าโทรคมนาคมห้องสมุดจะทำหน้าที่ ดังนี้

          1.  เป็นฐานข้อมูลเพื่อส่งข้อมูลและข่าวสารไปยังประเทศต่างๆ

          2.  เป็นแหล่งรวบรวมเอกสารเพื่อการค้นคว้า

          3.  เป็นศูนย์กลางในการติดต่อค้นคว้าและรับ-ส่งเอกสารระหว่างประเทศ

          4.  เป็นศูนย์กลางในการติดต่อของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร

 

ดาวเทียมไทยคมเพื่อการศึกษาในประเทศไทย

          เริ่มมีตั้งแต่ พ.ศ. 2509 โดยใช้ผ่านดาวเทียมอินเทลแซต หรือการเช่าดาวเทียมของประเทศอื่น  ดาวเทียมไทยคมเป็นดาวเทียมที่เอื้ออำนวยประโยชน์อย่างมหาศาลในการสื่อสารต่างๆ แก่ประเทศไทย  ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท ชินเซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) และขณะนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 3 ดวงได้แก่

          1.  ดาวเทียมไทยคม 1A ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536

          2.  ดาวเทียมไทยคม 2 ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2537

          3.  ดาวเทียมไทยคม 3 ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2540

          ดาวเทียมไทยคมทั้ง 3 ดวง เป็นดาวเทียมสื่อสารที่มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารของประเทศไทย ให้มีเทคโนโลยีรุดหน้าทัดเทียมกับประเทศต่างๆ อีกทั้งยังช่วยตอบสนองการใช้งานด้านการสื่อสารโทรคมนาคม และการกระจายเสียงโทรทัศน์ของประเทศไทยที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

การจัดการศึกษาผ่านดาวเทียมไทยคม

          การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม มีวัตถุประสงค์ดังนี้

          1.  เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง

          2.  เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกรับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถของตนเอง

          3.  เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของการจัดการศึกษา

          4.  เพื่อพัฒนาการจักการศึกษาทางไกลให้เหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยี

         

          การจัดการศึกษาผ่านดาวเทียมไทยคมจะครอบคลุมการบริการทางการศึกษา 3 ประเภท คือ

          1.  การศึกษาทางไกลตามหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน

          2.  การศึกษาในระบบโรงเรียน โดยเน้นวิชาที่ยากและขาดแคลนผู้สอน

          3.  การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นข้อมูลข่าวสารและการศึกษาที่ส่งเสริมการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่  5

วิวัฒนาการของการศึกษาทางไกลของไทย

 

          การศึกษาทางไกลเป็นวิธีการจัดการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่ได้พบกันโดยตรงเป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้สอนจะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไปยังผู้เรียนโดยผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ เทปเสียง คอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่าง ๆ 

          ความหลากหลายและความเจริญก้าวหน้าของสื่อประเภทต่าง ๆ ทำให้การศึกษาทางไกลเป็นวิธีการศึกษา ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียนกลุ่มต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้จัดการศึกษาทั้งประเภทในระบบโรงเรียนสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเรียนและประเภทนอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยสำหรับประชาชนทั่วไปนำวิธีการศึกษาทางไกลมาใช้กันอย่างกว้างขวาง

          วิธีการศึกษาทางไกลได้ถูกนำมาใช้ในประเทศต่าง ๆ ในระยะเริ่มแรก ก็เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และอยู่ไกลจากสถานศึกษา มีโอกาสได้เรียนโดยการสอนทางไปรษณีย์ แต่ปัจจุบันนี้จุดมุ่งหมายในการนำวิธีการศึกษาทางไกลมาใช้นั้นมีมากกว่าการให้โอกาสผู้ที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น จุดประสงค์คือต้องการให้การศึกษาหรือการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่สำหรับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลจากสถานศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีเวลา และไม่พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ในสถานศึกษา ทั้งนี้โดยอาศัยความหลากหลายและความเจริญก้าวหน้าของสื่อประเภทต่าง ๆ ทำให้ผู้จัดการศึกษาทั้งประเภทในระบบโรงเรียนสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเรียนและประเภทนอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย นำวิธีการศึกษาทางไกลมาใช้กันอย่างกว้างขวาง

          วิวัฒนาการความเป็นมาของการศึกษาทางไกลในประเทศต่าง ๆ และในประเทศไทย สรุปได้ดังนี้

 

ความเป็นมาของการศึกษาทางไกลในต่างประเทศ

          จากการศึกษาข้อคิดข้อเขียนของนักการศึกษาหลายท่าน เช่น เพอรี่และรัมเบิล (Perry and Rumble, 1987), โฮล์มเบิร์ก (Holmberg, 1960), แกริซัน (Garrison, 1989), เรดดี้ (Reddy,1992), นันดา (Nanda, 1998). วิจิตร ศรีสอ้าน และคณะ (2534) สามารถสรุปการศึกษาทางไกลในต่างประเทศ ได้ดังนี้

            การศึกษาทางไกลของประเทศต่าง ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลีย เอเชีย เริ่มขึ้นจากการสอนทางไปรษณีย์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถเดินทางมาเรียนที่โรงเรียนหรือวิทยาลัยได้ เช่น .. 2383 (.. 1840) วิทยาลัย Isaac Pitman ในประเทศอังกฤษเปิดสอนทางไปรษณีย์ (นันดา (Nanda), 1998) สำหรับในระดับมหาวิทยาลัยนั้น มหาวิทยาลัยลอนดอนได้เปิดโอกาสให้บุคคลเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องสอบคัดเลือกใน พ..2379 (.. 1836) (วิจิตร ศรีสอ้าน และคณะ 2534) ต่อมาใน พ.. 2423 (..1880) ทั้งในยุโรปและอเมริกาได้มีการเปิดสอนทางไปรษณีย์แก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบโรงเรียนได้ เนื่องจากมีที่อยู่อาศัยอยู่ห่างไกล เพราะฉะนั้นการศึกษาทางไกลในระยะเริ่มแรกนั้นจะเป็นการสอนทางไปรษณีย์อย่างกว้างขวาง (หรือใช้สื่อเอกสาร) เท่านั้น ต่อมาใน พ.. 2463 (.. 1920) เป็นต้นมาได้มีการใช้วิทยุกระจายเสียงสนับสนุนการสอนในระบบโรงเรียน และใช้สำหรับการสอนผู้ใหญ่ที่อยู่นอกระบบโรงเรียนด้วย โดยมีการจัดกลุ่มนักศึกษานอกโรงเรียนให้รับฟัง และร่วมอภิปรายความรู้ที่ได้รับจากวิทยุกระจายเสียง

          ในพ.. 2499 (.. 1956) มูลนิธิฟอร์ดได้ให้ทุนโครงการทดลองวิทยาลัยวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ชิคาโก เพื่อจัดการศึกษาระดับอนุปริญญา (หลักสูตร 2 ปี) ทางวิทยุโทรทัศน์ นักศึกษาเรียนจากวิทยุโทรทัศน์ที่บ้าน และมีการมาพบครูที่ศูนย์บ้างเป็นครั้งคราว วิทยาลัยแห่งนี้ประสบผลสำเร็จมาก และเป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยเปิดอื่น ๆ ในเวลาต่อมา แนวคิดเรื่องการจัดสถาบันการศึกษาระบบเปิดที่จัดการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลได้แพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ใน พ.. 2504 (.. 1961) เยอรมันตะวันตกได้ตั้งวิทยาลัยวิทยุโทรทัศน์ เพื่อช่วยคนงานให้มีโอกาสศึกษาในระดับที่สูงขึ้น จนถึงระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย

          สหภาพโซเวียตจัดตั้งวิทยาลัยทางไปรษณีย์ขึ้นใน พ.. 2507 (.. 1964) โปแลนด์ได้ตั้งวิทยาลัยเทคนิคทางวิทยุโทรทัศน์ ใน พ.. 2509 ฝรั่งเศสได้ตั้งวิทยาลัยวิทยุกระจายเสียงขึ้น ในพ.. 2509 เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นก็ยังมีการจัดตั้งวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยในลักษณะนี้ขึ้น ในประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ออสเตรเลีย (มหาวิทยาลัยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์) นิวซีแลนด์ และในทวีปแอฟริกา ใน พ.. 2512 ประเทศอังกฤษได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิดขึ้นจัดการเรียนการสอนด้วยระบบการศึกษาทางไกลโดยใช้สื่อต่าง ๆ ให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเองที่บ้านจากสื่อต่าง ๆ โดยไม่มีชั้นเรียน

            สำหรับในทวีปเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นประเทศที่มีการสอนด้วยระบบการศึกษาทางไกลกว้างขวางที่สุด ทำ ให้ผู้ที่ทำงานแล้วมีโอกาสเรียนระดับมัธยมศึกษาโดยทางวิทยุกระจายเสียงและทางไปรษณีย์ และใน พ.. 2518 ญี่ปุ่นได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยทางอากาศขึ้นเพื่อขยายการศึกษาทางไกลให้กว้างขวางขึ้นสำหรับสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลในประเทศต่าง ๆ นั้น ในระยะเริ่มแรกอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสอนทางไปรษณีย์ มีสื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก ต่อมาจึงมีการใช้สื่ออื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น ออตโต ปีเตอร์ (Otto, Peter. 1971) ได้แบ่งกลุ่มการใช้สื่อของประเทศต่างๆออกเป็น 2 กลุ่ม คือประเทศทางตะวันตกใช้สื่อสิ่งพิมพ์ร่วมกับสื่อต่าง ๆ ที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ส่วนประเทศทางตะวันออกใช้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลักร่วมกับการสอนเพิ่มเติมโดยครู ส่วนเพอรี่และรัมเบิล (Perry and Rumble, 1987) ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการการใช้สื่อในการจัดการศึกษาทางไกล สรุปได้ว่าในช่วงเริ่มเป็นการใช้สื่อสิ่งพิมพ์และจัดส่งทางไปรษณีย์ ต่อมาประมาณ ค.. 1940 เริ่มมีสื่อวิทยุกระจายเสียงเข้ามา ระหว่าง ค.. 1950 – 1960 มีสื่อวิทยุโทรทัศน์ ประมาณ ค.. 1970 มีวิดีโอเทป ประมาณกลาง ๆ ปี 1970 – 1980 เป็นต้นมาสื่อคอมพิวเตอร์เริ่มแพร่หลาย

          ปัจจุบันมีการใช้สื่อที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาก มีการใช้ดาวเทียมคอมพิวเตอร์ในลักษณะต่าง ๆ ที่ก้าวหน้ามาก เช่น Web-based learning, teleconference, e-mail, internet, e-Learning ฯลฯ อย่างไรก็ตามจุดเน้นหรือประเภทของสื่อที่เน้นในแต่ละประเทศจะต่างกันออกไปเช่น ในประเทศอังกฤษการจัดการศึกษาทางไกลของมหาวิทยาลัยเปิดจะใช้สื่อสิ่งพิมพ์คือ ตำรา หรือชุดการสอนเป็นสื่อหลัก มีรายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ วีดิทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นสื่อเสริมและยังมีอาจารย์ที่ปรึกษาให้การสอนเสริมตามศูนย์บริการการศึกษาที่มีอยู่ทั่วประเทศ ลักษณะนี้จะคล้ายคลึงกับการจัดการศึกษาทางไกลในอีกหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ประเทศที่ใช้สื่อวิทยุกระจายเสียงและสื่อวิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อหลัก และมีสื่ออื่น ๆเป็นสื่อเสริม ได้แก่ มหาวิทยาลัยเปิดในประเทศสหรับอเมริกาและยุโรป

          การจัดการศึกษาทางไกลในประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบันอาจจัดกลุ่มของสถาบันที่นำวิธีการศึกษาทางไกลไปใช้ในการจัดการศึกษาเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ คีแกน (Keegan, 1986), ราวทรี (Rowtree, 1997), นันดา (Nanda, 1998)

          กลุ่มที่ 1 เป็สถาบันที่จัดการเรียนการสอนโดยระบบการศึกษาทางไกลเพียงอย่างเดียว(Single Mode) เช่น โรงเรียนทางอากาศของออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยเปิดในประเทศอังกฤษ อินเดีย ศรีลังกา เยอรมนี แอฟริกา ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไทย ฯลฯ

          กลุ่มที่ 2 สถาบันการศึกษาที่จัดการศึกษาแบบผสมทั้งวิธีทางไกลและแบบชั้นเรียน ซึ่งยังแยกออกเป็นหลายลักษณะ ได้แก่

                   -  สถาบันที่เดิมเปิดสอนแบบชั้นเรียนแล้วต่อมาเปิดสอนแบทางไกลด้วย (Dual            Mode)  ในแต่ละหลักสูตรนักศึกษาสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนแบบใด ได้แก่                        มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย

                   -  สถาบันที่สอนแบบชั้นเรียน แต่อาจมีเพียงหน่วยงานหนึ่งในสถาบันเปิดสอนแบบ

ทางไกล เป็นลักษณะของการศึกษาต่อเนื่องให้แก่ผู้สนใจทั่วไป  ประเทศต่าง ๆ ได้นำวิธีการศึกษาทางไกลไปใช้ในการจัดการศึกษาในหลายระดับทั้งระดับมัธยม เช่น โรงเรียนมัธยมทางไกลในสวีเดน เม็กซิโก โรงเยนทางอากาศในเกาหลีใต้ และออสเตรเลีย วิทยาลัยการศึกษาต่อเนื่องในอังกฤษ (เพอรี่และรัมเบิล (Perry and Rumble), 1987)  ส่วนใหญ่จะพบว่านำไปจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและการศึกษาผู้ใหญ่ สำหรับระดับอุดมศึกษานั้นในทุกภูมิภาคของโลกทั้งยุโรป อเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลีย และเอเชีย มีสถาบันอุดมศึกษามากมายที่ใช้วิธีการสอนแบบทางไกล ซึ่งอาจจะเป็นในลักษณะของสถาบันการศึกษาทางไกลโดยตรง และเป็นแบบผสม (ทั้งทางไกลและชั้นเรียน) สำหรับ    การศึกษาทางไกลสำหรับผู้ใหญ่นั้น พบว่านักการศึกษาทางไกลทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่าจุดมุ่งหมายเริ่มแรกของการศึกษาทางไกลในประเทศต่าง ๆ นั้น นอกจากจะจัดให้แก่นักเรียนที่อยู่ห่างไกลแล้วยังจัดเพื่อให้ผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้ว ที่ไม่มีโอกาสมาเข้าเรียนในสถาบันแบบชั้นเรียนให้มีโอกาสได้เรียน ทั้งนี้ เพราะการตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องให้ประชาชนเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งผู้ใหญ่เหล่านี้อาจจะสมัครเข้าเรียนในระดับประกาศนียบัตรหรือปริญญาบัตร หรือนอกจากนั้นอาจจะเป็นการจัดการศึกษาทางไกลเพื่อให้ความรู้ที่จำเป็นแก่ผู้ใหญ่ในชุมชนทั่ว ๆ ไป โดยมิได้หวังปริญญาหรือประกาศนียบัตรใด ๆเป็นการเผยแพร่ ความรู้ทั่วไป เช่น การให้ความรู้ด้านสุขภาพ ด้านเกษตร ด้านสังคมสงเคราะห์ เช่น ในประเทศแทนซาเนีย ไนจีเรีย อินเดีย และอีกหลายประเทศ นอกจากการจัดการศึกษาให้แก่ผู้ใหญ่แล้ว ยังมีการนำวิธีการศึกษาทางไกลไปใช้ในการฝึกอบรมครูอีกด้วย ซึ่งพบในหลายประเทศเช่นกัน

          จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาทางไกลของประเทศต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยกล่าวคือ เดิมวิธีการศึกษาทางไกลถูกนำไปใช้เพื่อให้โอกาสผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากสถานศึกษามากๆ ที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้าเรียนได้ แต่ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ใช้วิธีการศึกษาทางไกลเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้ที่ไม่มีเวลา ไม่พร้อม ไม่สะดวกที่จะศึกษาแบบชั้นเรียนในสถานศึกษา ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล วิธีการศึกษาทางไกลจะช่วยให้การศึกษาเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ให้เกิดโอกาสการศึกษาตลอดชีวิตนั้นเอง

 

ความเป็นมาของการศึกษาทางไกลในประเทศไทย

          จากนิยามของการจัดการศึกษาโดยวิธีทางไกลที่ว่า เป็นวิธีการจัดการศึกษาที่ผู้สอนถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไปยังผู้เรียนโดยสื่อประเภทต่าง ๆ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ รายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ เทปเสียง วิดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ผู้เรียนไม่ต้องมาเข้าชั้นเรียนยังสถานศึกษา แต่จะศึกษาด้วยตนเองจากสื่อต่าง ๆ อยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน จากความหมายดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาทางไกลได้เริ่มขึ้นในประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน พ.. 2375 ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้จารึกตำราต่าง ๆ ไว้ในแผ่นศิลา แล้วประดับไว้ในบริเวณวัดพร้อมทั้งให้เขียนภาพและรูปปั้นต่าง ๆ ประกอบตำรา เพื่อให้ประชาชนเลือกศึกษาหาความรู้ได้ตามความสนใจ (เอนก ส่งแสง 2524L 11 – 12) จะเห็นได้ว่าเป็นกระบวนการถ่ายทอดความรู้ในสาขาวิทยาการต่าง ๆ โดยใช้สื่อหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งศิลาจารึก รูปเขียน และรูปปั้น จึงอาจจัดว่าเป็นการศึกษาทางไกลระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะยังไม่เต็มรูปนักก็ตาม ต่อมาใน พ.. 2477 ประเทศไทยได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขึ้น ซึ่งในขณะนั้นชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (เอนก ส่งแสง 2524: 39) เพื่อให้บริการการศึกษาแก่ประชาชนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น จัดเป็นแบบตลาดวิชา รับผู้เรียนไม่จำกัดจำนวน การจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น ใช้วิธีการสอนแบบชั้นเรียนเป็นหลัก จะมีการใช้สื่อบ้างเพื่ออนุโลมช่วยเหลือนักศึกษาที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ห่างไกลหรือติดภาระการงานไม่อาจมาเข้าชั้นเรียนได้ โดยการจัดทำตำราคำสอนออกจำหน่ายให้ไปศึกษาเองที่บ้าน เมื่อถึงกำหนดสอบก็จะมาสอบ ก็อาจนับได้ว่ามีการใช้วิธีการศึกษาทางไกลอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดสอนแบบชั้นเรียนเท่านั้นไม่ได้ใช้วิธีทางไกล

          ใน พ.. 2514 รัฐบาลได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งมีลักษณะคล้ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยแรก รับผู้เรียนไม่จำกัดจำนวน เพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ได้มีโอกาสอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นผู้ที่สอบเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาทั่วไปไม่ได้ สามารถสมัครเข้าเรียนได้ไม่จำกัดจำนวน การเรียนการสอนจัดใน 2 ลักษณะคือ เป็นแบบชั้นเรียนสำหรับผู้ที่สามารถมาฟังคำสอนที่มหาวิทยาลัยได้ และพวกที่มาเข้าชั้นเรียนไม่ได้ สามารถซื้อเอกสารคำสอนหรือตำราไปเรียนด้วยตนเองที่บ้าน แล้วมาสอบตามกำหนดเวลา นอกจากนั้นยังมีการจัดทำรายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์เสริมการเรียนอีกด้วย เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ใช้การเรียนการสอนโดยวิธีทางไกลด้วยเช่นกัน

          จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า เป็นพัฒนาการทางการจัดการศึกษาโดยวิธีทางไกลของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เต็มรูปแบบนัก แต่ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้น

          การจัดการศึกษาโดยวิธีทางไกลได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นแบบแผนชัดเจนยิ่งขึ้น ใน พ.. 2519โดยสำนักงานบริหารการศึกษานอกโรงเรียน (ในสมัยนั้นยังเป็นกองการศึกษาผู้ใหญ่)

          กองการศึกษาผู้ใหญ่ได้จัดบริการให้การศึกษา ทั้งสายสามัญและอบรมวิชาชีพแก่ประชาชนทั่วไปมาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการให้ความรู้แบบผู้สอนและผู้เรียนพบกันโดยตรง มีการให้ความรู้โดยใช้สื่อบ้าง เช่น สื่อสิ่งพิมพ์บ้างแต่ยังไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นการจัดกิจกรรมแบบผู้เรียนพบกับผู้สอนโดยตรงมากกว่า ใน พ.. 2519 กองการศึกษาผู้ใหญ่ได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะขยายการศึกษานอกโรงเรียน โดยเฉพาะการศึกษาพื้นฐานหรือการศึกษาสายสามัญให้ทั่วถึงประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล เพราะการศึกษาพื้นฐานนับเป็นการศึกษาเบื้องต้นที่ประชาชนทุกคนควรจะได้รับ ซึ่งจะเป็นความรู้ที่จะช่วยในการดำเนินชีวิตของบุคคล เป็นความรู้พื้นฐานที่จะช่วยให้บุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานในการที่จะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง หรือพัฒนาความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้นหรือศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นต่อไปถึงแม้ว่ากองการศึกษาผู้ใหญ่จะจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือการศึกษาสายสามัญมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถขยายโอกาสไปได้ทั่วถึงประชาชนที่อยู่ห่างไกล และประชาชนผู้ด้อยโอกาสอย่างแท้จริง ผู้ที่จะมีโอกาสมากกว่าคือ ประชาชนที่อยู่ในเมืองใหญ่ เพราะฉะนั้นกองการศึกษาผู้ใหญ่ จึงได้เริ่มหาวิธีที่จะช่วยขยายการศึกษานี้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น จึงได้ทดลองโครงการการศึกษานอกโรงเรียนทางวิทยุ และไปรษณีย์ขึ้น (...) ใน พ.. 2519 ตามโครงการนี้ หลังจากผู้เรียนสมัครเรียนกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแล้วผู้เรียนจะได้รับเอกสาร (ตำราเรียน) เพื่อนำไปศึกษาด้วยตนเอง และจะฟังรายการวิทยุประกอบบทเรียนตามตารางที่กำหนด และจะมีการนัดหมายให้ผู้เรียนทุกคนไปพบกับครูผู้สอน ซึ่งเรียกว่าการพบกลุ่มเป็นครั้งคราวตามที่กำหนดเพื่อซักถามปัญหา และทำกิจกรรมร่วมกัน การเรียนโดยวิธีนี้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกลในภูมิภาคต่าง ๆ สามารถเรียนได้ ใน พ.. 2523 กองการศึกษาผู้ใหญ่ได้รับการยกฐานะเป็นกรรมการศึกษานอกโรงเรียน โครงการนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึง พ.. 2525 เป็นปีสิ้นสุดโครงการทดลอง หลังจากโครงการทดลองสิ้นสุดลงทำให้ได้รูปแบบที่ชัดเจนขึ้น พร้อมที่จะขยายไปสู่การปฏิบัติการจริง

          จาก พ.. 2525 เป็นต้นมา โครงการ ว... ก็ได้ถูกนำมาขยายผล โดยดำเนินการจริงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย หลักสูตรการศึกษาสายสามัญที่กรมการศึกษานอกโรงเรียนเปิดบริการโดยใช้วิธีการศึกษาทางไกล (หรือวิทยุไปรษณีย์) ในขณะนั้นคือ (ทวีป อภิสิทธิ์, 2528: 37)

          1.  การศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐาน (.4)

          2.  การศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จระดับที่ 3 – 4 (.6 และ ม.3)

          3.  การศึกษาผู้ใหญ่ระดับที่ 5 (.6)

 

          ผู้ที่มีคุณสมบัติสมัครเรียนได้คือ ประชาชนทั่วไป ทั้งชายและหญิงที่มีอายุพ้นเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับไปแล้ว สำหรับผู้ที่จะเข้าเรียนหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐาน (.4) นั้นได้แก่ ผู้ที่ไม่เคยเข้าโรงเรียนมาเลย หรือเคยเข้าเรียนมาบ้างแต่ออกกลางคัน ไม่จบ ป.4 ส่วนผู้ที่จะเข้าเรียน ป.6 ต้องจบ ป.4 มาแล้ว ผู้ที่จะเข้าเรียนระดับ ม.3 ต้องจบ ป.6 มาแล้วและผู้ที่จะเข้าเรียนหลักสูตร ม.6 ต้องจบชั้น ม.3 มาแล้ว เป็นต้น

          เมื่อเรียนจบแต่ละหลักสูตรตามเกณฑ์ที่กำหนดผู้เรียนจะได้ประกาศนียบัตรเทียบเท่าระดับชั้นต่าง ๆ โดยมีสิทธิเท่ากับผู้จบการศึกษาในระบบโรงเรียนทุกประการนอกจากจะขยายการจัดการศึกษาสายสามัญ โดยใช้วิธีทางไกล (หรือที่เรียกว่า ว...) ดังกล่าว วิธีการจัดการศึกษาสายสามัญในลักษณะเดิม (คือ การสอนเป็นกลุ่มหรือเป็นชั้นเรียนตามหมู่บ้าน หรือขอใช้สถานที่ของโรงเรียนในท้องถิ่นในเวลาเย็น) ก็ยังคงดำเนินการอยู่วิธีเรียนตามโครงการวิทยุและไปรษณีย์นี้ ผู้เรียนจะเรียนจากสื่อ 3 ประเภท คือ 1) คู่มือเรียน 2) ฟังรายการวิทยุ 3) การพบกลุ่ม เมื่อผู้เรียนลงทะเบียนเรียนจะได้รับคู่มือเรียนก็คือตำราเรียนนั้นเอง ผู้เรียนจะเรียนจากตำราด้วยตนเองและฟังรายการวิทยุ ซึ่งมีเนื้อหาช่วยเสริมบทเรียนโดยจะมีการออกอากาศตามตารางที่แจกให้นักศึกษา นอกจากนั้นนักศึกษาแต่ละคนจะต้องร่วมกิจกรรมพบกลุ่มยังสถานที่ที่กำหนดให้ประมาณสัปดาห์ละ1 ครั้ง การพบกลุ่มจะให้ผู้เรียนได้พบกันและพบปะกับผู้สอนจะมีการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากประเด็นปัญหาต่าง ๆ ในเนื้อหาทั้งจากการอ่านบทเรียน และการรับฟังรายการวิทยุ และยังส่งเสริมให้นักศึกษาได้ฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ ฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วย

          กิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนโดยวิธีทางไกล หรือการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์ของกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้ดำเนินการเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่ง พ.. 2530 กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้ทำการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนสายสามัญใหม่ทั้งหมด ซึ่งแต่เดิมมีการเรียนการสอนใน 3 รูปแบบคือ แบบชั้นเรียน แบบทางไกล (วิทยุและไปรษณีย์ ดังที่กล่าวรายละเอียดมาข้างต้น) และการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับบุคคลภายนอก หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าการสอบเทียบ) ได้ปรับหลักสูตร และเปลี่ยนชื่อเป็นการศึกษานอกโรงเรียนสายสามัญมี 3 ระดับคือ 1)ระดับประถมศึกษา 2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ 3) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ละหลักสูตรให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้จาก 3 วิธีเรียนดังนี้คือ

          -  วิธีเรียนด้วยตนเอง

          -  วิธีเรียนแบบชั้นเรียน

          -  วิธีเรียนทางไกล

 

          วิธีเรียนด้วยตนเอง หลังจากผู้เรียนลงทะเบียนแล้วจะได้รับเอกสารตำราเรียน ซึ่งผู้เรียนจะศึกษาเองที่บ้าน อาจะมีการนัดหมายมาพบกลุ่มกับครูและผู้สอนบ้างนาน ๆ ครั้ง และเมื่อถึงเวลาก็มาสอบ

          วิธีเรียนแบบชั้นเรียน กรมการศึกษานอกโรงเรียนจะประสานขอใช้สถานที่ของโรงเรียนในพื้นที่ จัดสอนในตอนเย็นค่ำของแต่ละวัน คล้ายกับการศึกษาในระบบโรงเรียน

          วิธีเรียนทางไกล ผู้เรียนที่เลือกเรียนแบบนี้จะศึกษาจากตำราที่ได้รับหลังจากการลงทะเบียน ฟังรายการวิทยุตามตารางออกอากาศ และมาพบกลุ่มในวันเสาร์อาทิตย์ ตามที่นัดหมาย โดยทั่วไปจะประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การดำเนินงานจะเป็นเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน

          สำหรับการศึกษาทางไกลในระดับที่สูงขึ้น ใน พ.. 2521 รัฐบาลได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิดขึ้นคือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้วิธีการศึกษาทางไกลโดยตรงเริ่มดำเนินการสอนใน พ.. 2523 ปัจจุบันมีหลักสูตรหลายระดับตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรระดับปริญญาตรีไปจนถึงระดับปริญญาโท จัดการเรียนการสอนให้แก่ประชาชนทั้งประเทศโดยใช้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก และมีสื่อเทปเสียง วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ การสอนเสริม เป็นสื่อเสริม ในแต่ละปีมหาวิทยาลัยสามารถให้โอกาสแก่ผู้อยู่ห่างไกล และผู้ที่ไม่มีโอกาสเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วไปเข้าเรียนได้เป็นแสนคน นอกจากนั้นยังมีการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปโดยผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย

          นอกเหนือจากนี้ ในประเทศไทยยังมีสถาบันอุดมศึกษาอีกหลายแห่ง ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่เดิมเปิดสอนแบบชั้นเรียนอยู่ และได้นำวิธีการศึกษาทางไกลไปใช้ควบคู่กับการเรียนแบบชั้นเรียนด้วย สำหรับในระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนบางแห่งได้นำวิธีการศึกษาทางไกลไปใช้เสริมการจัดการเรียนการสอนด้วย นอกจากนั้นมีหน่วยงานของรัฐและเอกชนมีการจัดเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปทางสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทั้งทางสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ คอมพิวเตอร์ ดาวเทียม

 

ระดับของการศึกษาทางไกลของไทย

          พัฒนาการของการศึกษาทางไกลในประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งลักษณะการพัฒนาการของการศึกษาทางไกลเป็น 2 ระดับคือ

          1.  การศึกษาทางไกลระดับต่ำกว่าอุดมศึกษาและ

          2.  การศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษา โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

                  

                   1. การศึกษาทางไกลระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา

                   ประเทศไทยเริ่มนำการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์เข้ามาดำเนินการในปี พ..2518 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา กรมวิชาการ (ซึ่งต่อมาได้รวมหน่วยงานเข้าด้วยกันเป็นกรมการศึกษานอกโรงเรียน) ได้เสนอโครงการวิทยุและโทรทัศน์เพื่อการศึกษานอกโรงเรียนขึ้น ในการดำเนินงานนั้นได้มีการทดลองใช้วิทยุกระจายเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน (กรมการศึกษานอกโรงเรียน 2519 : 4) ลักษณะของรายการเป็นรายการทั่วไปและรายการเรียน โดยรายการทั่วไปจัดให้กับกลุ่มผู้รับชมรับฟังทั้งในเมืองและชนบท ให้บริการความรู้ทั่วไปและส่งเสริมให้เกิดความคิดใหม่ๆ ในเรื่องการเกษตร ธรรมจริยา ภูมิปัญญา อนามัย และการวางแผนครอบครัว ในส่วนของรายการเรียนจัดให้มีหลักสูตรที่แน่นอน มีระบบการลงทะเบียน มีการพบกลุ่มกับวิทยากรประจำกลุ่ม ในระหว่างปี พ.. 2520 – 2524 ได้ทดลองจัดการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จระดับ 3-4 และการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ กลุ่มสนใจ รูปแบบการจัดนั้นใช้สื่อ 3 ชนิด คือ คู่มือเรียนรายการวิทยุและการพบกลุ่มกับครูประจำกลุ่ม ในช่วงแรกใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงของท้องถิ่นเป็นหลัก  ต่อมาเมื่อกรมประชาสัมพันธ์ได้จัดตั้งวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษาขึ้น จึงได้ใช้สถานีวิทยุแห่งนี้กระจายเสียงเพื่อการศึกษาของโครงการดังกล่าว ต่อมาในปี พ.. 2519 ได้ทดลองหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จระดับที่ 5 ทางวิทยุและไปรษณีย์ขึ้นด้วย จนถึงปี พ.. 2530

กรมการศึกษานอกโรงเรียนได้พัฒนาหลักสูตรสายสามัญขึ้นแบ่งเป็นระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีวิธีเรียน 3 วิธีคือ วิธีเรียนแบบชั้นเรียนวิธีเรียนด้วยตนเอง และวิธีเรียนทางไกล ซึ่งพัฒนามาจากการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์

                   ก่อนที่จะมีการพัฒนาการศึกษาทางไกลในรูปของโครงการการศึกษาทางวิทยุและไปรษณีย์นั้น เมื่อ พ.. 2507 ได้มีการทดลองใช้วิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษาแล้ว โดยจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและรายการวิทยุโรงเรียนขึ้นให้บริการแก่การศึกษาในระบบโรงเรียน และจัดรายการวิทยุเพื่อการศึกษาขึ้นให้บริการความรู้แก่ประชาชนทั่วไปออกอากาศที่สถานีวิทยุศึกษา (ปัจจุบันสังกัดศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา) กรมการศึกษา (ปัจจุบันสังกัดศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษานอกโรงเรียน)

                   ในปัจจุบันการศึกษาทางไกลในระดับที่ต่ำกว่าอุดมศึกษา ดำเนินการโดยกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ขณะใช้หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนระดับประถมศึกษา พ.. 2532 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พ.. 2530 และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.. 2530 การเรียนจะมีสื่อหลักคือ แบบเรียนหรือคู่มือเรียน ให้ผู้เรียนศึกษาและทำแบบฝึกหัดด้วยตนเองและใช้รายการวิทยุเสริมความรู้ในแต่ละหมวดวิชาออกอากาศทางสถานี

                   2. การศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษา

                   ปี พ.. 2519 ทบวงมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีการหารือเพื่อพัฒนาการสอนระบบเปิดโดยใช้สื่อการสอนต่างๆ ขึ้น และลดระบบการสอนแบบชั้นเรียนลงแต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างจริงจัง ต่อมาทบวงมหาวิทยาลัยจึงดำริจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนโดยระบบทางไกลขึ้นในปี พ.. 2519 โดยมีวัตถุประสงค์จะให้การศึกษาและส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเพิ่มพูนวิทยฐานะตามความต้องการของสังคม นอกจากนั้นก็ทำการวิจัย ค้นคว้า เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการและเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในรูปของการเผยแพร่ความรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพของประชาชนโดยทั่วไป เพื่อทำนุบำรุงวัฒนธรรมและเสริมสร้างทัศนคติที่ดีงามเพื่อคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาติไทย มหาวิทยาลัยเปิดแห่งนี้จะให้บริการทางการศึกษาทั้งประเภทให้ปริญญาและประเภทไม่ให้ปริญญา ซึ่งในการบริการทั่วไป กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ผู้มีงานทำแล้วและผู้ที่ยังไม่มีงานทำที่ประสงค์จะเพิ่มพูนความรู้ในระดับปริญญา รวมทั้งการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปในรูปของการศึกษาต่อเนื่อง (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2534 : 37) โดยหลักการและวัตถุประสงค์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชขึ้นดำเนินการจัดการศึกษาดังกล่าว

                   ปัจจุบันการจัดการศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษานั้น มีหน่วยงานหลักที่จัดการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นสถาบันการศึกษาที่ไม่มีชั้นเรียนของตนเองให้การศึกษาโดยใช้ระบบสื่อการสอนทางไปรษณีย์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือวิธีการอย่างอื่นที่ผู้ศึกษาสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมาเข้าชั้นเรียนปกติ โดยยึดโครงสร้างสื่อการสอนที่ยึดสื่อสิ่งพิมพ์เป็นแกนการผลิตและใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาระบบการศึกษาทางไกลยึดหลักการดังนี้

                   1)  มีระบบการผลิตสื่อที่ผ่านการตรวจสอบและวิจัยหาประสิทธิภาพแล้วมีความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพผู้เรียนและความพร้อมด้านพื้นฐานของสังคม

                   2)  ใช้สื่อประสมในรูปของชุดการเรียนทางไกล

                   3)  ผลิตและเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และของประเทศ

                   4)  จัดระบบการใช้สื่อในแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับเนื้อหาวิชาที่สอนและสนับสนุนกันและกัน ระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชใช้การเรียนการสอนโดยสื่อประสม ได้แก่

          (1)  สื่อหลัก ได้แก่ ตำราและสื่อการเรียน

          (2)  สื่อเสริม ได้แก่ รายการวิทยุและโทรทัศน์ ปัจจุบันส่งกระจายเสียงทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์

          (3)  การสอนเสริม โดยมีอาจารย์ผู้สอนเสริมไปพบกับนักเรียนเป็นระยะๆนอกจากนี้ยังได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการศึกษาอีก เช่น จัดเทปเสียงวิดีโอเทปบริการห้องสมุด โดยจัดเป็น มุมมสธ. ในห้องสมุดประชาชน การฝึกภาคปฏิบัติ และการให้คำปรึกษาแนะแนว เป็นต้น

          นอกเหนือจากการศึกษาทางไกลในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชแล้ว กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมฝึกหัดครูยังได้จัดทำโครงการศูนย์การศึกษาสำหรับครูประจำการทางวิทยุไปรษณีย์ขึ้น โดยจัดในลักษณะให้การศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้และวิทยฐานะในระหว่าประจำการ ให้มีความรู้ถึงในระดับปริญญาตรี ทั้งนี้โครงการดังกล่าวพัฒนาขึ้นมาจากการสอนวิชาชุดครู พม. พกศ. ซึ่งกรมการฝึกหัดครูจัดขึ้น แต่เดิมสื่อหลักที่ใช้ในการจัดการศึกษาของโครงการนี้ ได้แก่ ตำราเรียน สื่อประกอบการเรียน การพบกลุ่ม สอนเสริมโดยครูและผู้เรียนติดต่อกันทางไปรษณีย์เป็นหลัก

 

สรุป

          จุดเริ่มต้นของการนำวิธีการศึกษาทางไกลมาใช้ในการจัดการศึกษาของแต่ละประเทศรวมทั้งประเทศไทยนั้นคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เพื่อช่วยให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานศึกษา ผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกลซึ่งไม่มีสถานศึกษาตั้งอยู่ได้มีโอกาสเรียน ต่อมาสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้นำวิธีการศึกษาทางไกลมาใช้มากขึ้นมิใช่เพียงเหตุผลที่จะช่วยผู้ที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลในด้านการช่วยให้ผู้ที่ไม่มีเวลา ผู้ที่มีภาระต่าง ๆ มากมายไม่สามารถเรียนแบบชั้นเรียนได้ ได้มีโอกาสรับการศึกษา ในปัจจุบันพบว่าในแต่ละประเทศสถาบันการศึกษาในทุกระดับทั้งระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา อุดมศึกษา และการให้ความรู้ทั่วไปที่ไม่มีการให้ประกาศนียบัตรหรือปริญญาบัตรต่างนำวิธีการศึกษาทางไกลไปใช้ โดยจะมีทั้งสถาบันที่ใช้วิธีการศึกษาทางไกลเพียงอย่างเดียว และสถาบันที่เดิมเปิดสอนแบบชั้นเรียนแล้วนำวิธีการทางไกลไปจัดเป็นทางเลือกให้แก่ผู้เรียน และหรือไปเสริมการเรียนแบบชั้นเรียน ทั้งนี้นอกจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้วยังเป็นเพราะวิธีการศึกษาทางไกลช่วยให้การเรียนการสอนน่าสนใจ ช่วยให้เข้าถึงแหล่งความรู้อย่างกว้างขวางรวดเร็ว วิธีการศึกษาทางไกลช่วยให้การศึกษาเข้าถึงผู้เรียนจำนวนมาก

          ดังนั้น จึงสามารถสรุปปัจจัยที่ทำให้การศึกษาทางไกลมีวิวัฒนาการ เช่นนี้ได้ว่ามาจากปัจจัยต่อไปนี้

                   1.  ปัจจัยด้านความห่างไกล การศึกษาทางไกลช่วยให้โอกาสแก่ผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานศึกษาหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีสถานศึกษาตั้งอยู่ ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกับผู้อื่น

                   2.  ปัจจัยด้านการไม่มีเวลา ด้วยสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้คนจำนวนมากมีภาระมากมายไม่อาจมีเวลาพอที่จะเข้าเรียนแบบชั้นเรียน การศึกษาทางไกลถูกนำมาช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นให้เรียนที่ใดก็ได้เมื่อไรก็ได้เมื่อพร้อม โดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน

                   3.  ปัจจัยด้านความจำเป็นของการศึกษาตลอดชีวิต ประชาชนทุกวัยทุกช่วงอายุจำเป็นต้องได้รับการศึกษา ซึ่งการศึกษาในสถานศึกษาต่าง ๆ ในรูปแบบของชั้นเรียน เหมาะแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเรียน แต่ไม่ได้เอื้อให้แก่ผู้ที่อยู่วัยแรงงาน วัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ดังนั้นการศึกษาทางไกลจึงถูกนำมาใช้เพื่อกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้

                   4.  ปัจจัยด้านคุณลักษณะของสื่อและเทคโนโลยี สื่อและเทคโนโลยีมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวการนำสื่อเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการศึกษา (หรือที่เรียกว่าการศึกษาทางไกล) ทำให้การเรียนการสอนน่าสนใจ การศึกษาเข้าถึงผู้เรียนได้กว้างขวางทุกกลุ่มทุกสถานที่ การศึกษาเข้าถึงผู้เรียนได้รวดเร็ว จัดการศึกษาให้กับผู้เรียน

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น