วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

Group 1. ความรู้พื้นฐานการผลิตสื่อ/ การผลิตสื่อการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน/ การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีการศึกษา



 
 
 
                ความรู้พื้นฐานในการผลิตสื่อ คือการใช้การวิเคราะห์สื่อการสอนนั้น  ผู้สอนควรจะได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้  ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ผู้เรียนการกำหนดจุดประสงค์การเลือก  ดัดแปลง  หรือออกแบบสื่อการกำหนดการตอบสนองของผู้เรียนและการปรับปรุงแก้ไขโดยที่หลักการดังกล่าวนี้จะนำไปสู่การเรียนรู้ในการออกแบบสื่อ  ลักษณะการออกแบบที่ดี  การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยคอมพิวเตอร์  หลักในการประดิษฐ์ตัวอักษร  สีและการใช้สี  ตลอดจนคอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อ  เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในการเรียนรู้ที่มากยิ่งขึ้น
1. การวิเคราะห์สื่อ
                การใช้การวิเคราะห์สื่อการสอนนั้นผู้สอนควรจะได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้มี  5  ขั้นตอนดังนี้
                1.1 การวิเคราะห์ผู้เรียน
                                1.1.1 ทักษะที่มีมาก่อน  (prerequisite  skill)  เพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานหรือทักษะที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนนั้นว่ามีอะไรบ้างก่อนที่จะเรียน
                                1.1.2 ทักษะเป้าหมาย  (target  skill)  ผู้เรียนมีความชำนาญในทักษะที่จะสอนนั้นมาก่อนหรือไม่เพื่อจะได้สอนให้ตรงกับที่วางจุดมุ่งหมายไว้
                                1.1.3 ทักษะในการเรียน  (study  skill)  ผู้เรียนมีความสามารถขั้นต้นทางด้านภาษา การอ่านเขียนการคำนวณฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยในการเรียนรู้นั้นในระดับมากน้อยเพียงไร
                                1.1.4 เจตคติ  (attitudes)  ผู้เรียนมีเจตคติอย่างไรต่อวิชาที่จะเรียนนั้น
                1.2 การกำหนดจุดประสงค์
                1.2.1 ผู้สอนจะได้ทราบว่าการเรียนการสอนนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรเพื่อสะดวกในการเลือกสื่อและวิธีการให้ถูกต้องวัตถุประสงค์นี้จะช่วยในการจัดลำดับกิจกรรมการเรียนและสร้างสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์นั้น
                                1.2.2 ช่วยในการประเมินผู้เรียนได้อย่างถูกต้องเพราะผู้สอนจะไม่ทราบเลยว่าผู้เรียนได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ถ้าไม่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ไว้ก่อนล่วงหน้า
                                1.2.3 ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่า เมื่อเรียนบทเรียนนั้นแล้วจะสามารถเรียนรู้หรือกระทำอะไรได้บ้าง
                1.3 การเลือก ดัดแปลงหรือออกแบบสื่อ
                1.3.1การที่จะมีสื่อวัสดุที่เหมาะสมในการเรียนการสอน สามารถทำได้3วิธี คือ
                                                1.3.1.1 เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว
                                        1.3.1.2 ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว
                                       1.3.1.3 การออกแบบสื่อใหม่
                       1.3.2 การใช้สื่อ
                                       1.3.2.1 ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อเหล่านั้นก่อนเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้า                                               1.3.2.2 จัดเตรียมสถานที่
                                       1.3.2.3 เตรียมตัวผู้เรียน
                                       1.3.2.4ควบคุมชั้นเรียน  เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจในสื่อที่นำเสนอนั้น
            1.4 การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน  การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนและเปิดโอกาสให้มีการตอบสนองนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซึ่งผู้เรียนจะมีการตอบสนองหรือไม่และมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับสื่อที่นำมาใช้การประเมินผลทำได้  3  ลักษณะคือ
                                1.4.1 การประเมินกระบวนการสอน
                1.4.2 การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน
                1.4.3 การประเมินสื่อและวิธีการสอน
                1.5 การปรับปรุงแก้ไข  เป็นการนำเสนอผลที่ได้จากการประเมินมาตรวจสอบการใช้สื่อทั้งระบบเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการใช้สื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
 
2. การออกแบบสื่อ
                การออกแบบสื่อการสอน  คือ  การวางแผนสร้างสรรค์สื่อการสอนหรือการปรับปรุงสื่อการสอนให้มีประสิทธิภาพและมีสภาพที่ดี  โดยอาศัยหลักการทางศิลปะ รู้จักเลือกสื่อและวิธีการทำเพื่อให้สื่อนั้นมีความสวยงาม  มีประโยชน์และมีความเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน
 
3. ลักษณะการออกแบบที่ดี
                3.1 ควรเป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับความมุ่งหมายของการนำไปใช้
                3.2 ควรเป็นการออกแบบที่มีลักษณะง่ายต่อการทำความเข้าใจ
        3.3 ควรมีสัดส่วนที่ดีและเหมาะสมตามสภาพการใช้งานของสื่อ
                3.4 ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ  ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของการใช้และการผลิตสื่อชนิดนั้น
 
4. การประดิษฐ์ตัวอักษร ด้วยคอมพิวเตอร์
                อักษรจากคอมพิวเตอร์  การผลิตตัวอักษรนับวันที่จะง่ายสะดวกและรวดเร็ว  เพราะคอมพิวเตอร์มีศักยภาพที่จะช่วยผลิตตัวอักษรได้อย่างดี  ซึ่งมีโปรแกรมสำเร็จหลายโปรแกรมที่ผลิตตัวอักษรได้ดี  อาทิเช่น  Adobe Photo Shop, Image Styler, MS PowerPoint  และอื่นๆอีกมากขึ้นอยู่กับผู้ใช้จะมีความถนัดที่จะใช้โปรแกรมไหน  การประดิษฐ์ตัวอักษรอย่างเหมาะสมจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้ตัวอักษรที่ประดิษฐ์ต้องมีขนาดพอเหมาะกับระยะในการเรียนรู้ชัดเจน อ่านง่าย
                4.1 หลักในการประดิษฐ์ตัวอักษร
                                4.1.1 การเลือกแบบหรือลักษณะของตัวอักษรที่จะเขียนหัวเรื่องหรือใจความสำคัญควรจะมีการเน้นรูปแบบ  ขนาดที่แตกต่างจากข้อความธรรมดา
                                4.1.2 ขนาดของตัวอักษร ควรสัมพันธ์กับระยะความห่างจากตัวอักษร  เช่น  ผู้อ่านอยู่ห่าง  4.8  เมตร  ตัวอักษรควรจะมีขนาด  1.2  เซนติเมตร
                                4.1.3 ช่องไฟต้องคำนึงถึงช่องไฟเพื่อความสวยงามดูเป็นระเบียบ  อาจใช้การประมาณด้วยสายตาหรือถือหลักช่องไฟระหว่างตัวอักษรเป็น  1ใน3  หรือ  2ใน3  ส่วนของตัวอักษร
                4.2 สีและการใช้สี  เราจะสามารถควบคุมและสร้างสรรค์ภาพให้เกิดความประสานกลมกลืนงดงามได้ง่ายขึ้น  เพราะสีมีอิทธิพลต่อมวลปริมาตรและช่องว่างสีมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความกลมกลืนหรือขัดแย้งได้  สีสามารถขับเน้นให้เกิดจุดเด่นและการรวมกันให้เกิดเป็นหน่วยเดียวกันได้  เราในฐานะผู้ใช้สีต้องนำหลักการต่างๆของสีไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายในงานของเรา
                4.3 สีมีผลต่อการออกแบบ
                                4.3.1 สร้างความรู้สึกสีให้ความรู้สึกต่อผู้พบเห็นแตกต่างกันไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และภูมิหลังของแต่ละคน  สีบางสีสามารถรักษาบำบัดโรคจิตบางชนิดได้
                                4.3.2 สร้างความน่าสนใจสีมีอิทธิพลต่องานศิลปะการออกแบบจะช่วยสร้างความประทับใจและความน่าสนใจเป็นอันดับแรกที่พบเห็น
                                4.3.3 สีช่วยให้เกิดการรับรู้และจดจำงานศิลปะการออกแบบต้องการให้ผู้พบเห็นเกิดการจดจำในรูปแบบและผลงานหรือเกิดความประทับใจการใช้สีจะต้องสะดุดตาและมีเอกภาพ
5. คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อ
                คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อ  หมายถึง  สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่งที่นิยมบันทึกลงบนแผ่น  CDROM  ซึ่งสามารถนำเสนอสื่อประสมได้แก่ข้อความภาพนิ่งกราฟิกแผนภูมิที่ใกล้เคียงกับการสอนจริงมากที่สุด  คอมพิวเตอร์ช่วยสอน  (CAI)  เป็นกระบวนการเรียนการสอน  โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ  มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง  และเป็นการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์  คือ  สามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้
                5.1 ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
                                5.1.1 สามารถตอบสนองการเรียนรู้ส่วนบุคคลได้  ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามระดับความสามารถและอัตราความเร็วตามที่ต้องการ
                                5.1.2.สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนโดยการใช้สี  เสียงและภาพรวมทั้งการออกแบบโปรแกรมที่น่าสนใจ
                                5.1.3 ช่วยสอนความคิดรวบยอดและทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
                                5.1.4. สามารถเรียนได้อย่างไม่จำกัดเวลาและทบทวนได้ตามที่ต้องการ
                                5.1.5 สามารถจัดแผนการสอนได้ดี  ด้วยการที่ผู้สอนสร้างโปรแกรมที่มีขั้นตอนและระบบที่ดีเช่นมีจุดมุ่งหมาย  สอนเนื้อหา  ทดสอบและให้ผลย้อนกลับ และยังสามารถเก็บข้อมูลผู้เรียน  วิเคราะห์และเสนอผลการประเมินได้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บทที่  2
การผลิตสื่อการสอน
            การผลิตสื่อการสอนมีขั้นตอนต่างๆหลายขั้นตอน  ได้แก่  ขั้นวางแผนทางด้านวิชาการมีการวางแผนกำหนด  จุดมุ่งหมายการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย  ศึกษาเนื้อหา  เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องสัมพันธ์กับหัวข้อย่อยเนื้อหาการวิเคราะห์การผลิตเบื้องต้นขั้นเตรียมการผลิต  ขั้นดำเนินการผลิตในการผลิตสื่อการสอนหรือวัสดุเทคโนโลยีทางการศึกษา  และขั้นสุดท้าย  คือ  ขั้นการประเมินผลการใช้สื่อการสอน  เป็นการประเมินผลในด้านต่างๆของสิ่งต่อไปนี้เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงให้สื่อมีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ตามที่กำหนดเพื่อให้นักเรียนเกิดประสบการเรียนรู้ได้ตรวจตามวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของสื่อที่ผลิต  เพื่อให้สื่อนั้นมีคุณภาพสมบูรณ์และทันสมัย
1. ขั้นวางแผนทางด้านวิชาการ
                1.1 จุดมุ่งหมายหรือจุดประสงค์ในการสอน  คือ  ความคาดหวังผลที่จะได้รับจากการเรียนการสอน  สามารถแบ่งตามลักษณะของพฤติกรรมได้  3  ด้าน  คือ  ด้านพฤติกรรมด้านความรู้ความคิด  พฤติกรรมด้านทักษะและพฤติกรรมด้านความรู้สึกหรือทัศนคติ  การเขียนจุดประสงค์ของการสอนจะต้องระบุถึงพฤติกรรมว่า  ผู้เรียนสามารถจะแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง  จึงจะเป็นที่ยอมรับว่าได้เรียนรู้ตามต้องการ  การเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมยังให้ผลดีหรือเป็นประโยชน์ทางการผลิตสื่อด้านอื่นๆ  ได้แก่
                                1.1.1 ช่วยในการผลิตสื่อการสอนเป็นมาตรฐาน
                                1.1.2 ช่วยให้สามารถเลือกชนิดของสื่อการสอนที่จะผลิตได้เหมาะสม
                                1.1.3 ใช้เป็นหลักในการประเมินผล หรือตรวจสอบประสิทธิภาพของสื่อ
                                1.1.4 ช่วยให้เรียบเรียงเนื้อหาที่จะสื่อความหมายได้ง่ายขึ้น
                                1.1.5 ช่วยเลือกวิธีสอน หรือวิธีการสื่อความหมายได้สะดวกและมีประสิทธิภาพ
การเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สมบูรณ์มีหลักเกณฑ์การเขียน  ดังนี้
1. ใช้คำที่เป็นกิริยาแสดงการกระทำที่สังเกตเห็นได้  เช่น  บอกจำแนก  อธิบาย  เป็นต้น
2. กำหนดสิ่งที่จะให้กระทำ  เช่น  บอกชนิดของฟิล์ม  เป็นต้น
3. กำหนดเกณฑ์ของการกระทำ  เช่น  แสดงวิธีการจับกล้องอย่างถูกต้อง
                1.2 การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย  กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มผู้เรียน  หมายถึง  กลุ่มประชากรที่เราจะผลิตสื่อการสอน  เพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์กลุ่มผู้เรียน  เราควรพิจารณาในลักษณะต่อไปนี้
                                1.2.1 ลักษณะภายนอก  ได้แก่  อายุ  เพศ  ขนาดของกลุ่มเป้าหมาย
                                1.2.2 ลักษณะทางการศึกษา  ได้แก่  พื้นความรู้  วิธีเรียน  ความชำนาญ
                                1.2.3 ลักษณะความรู้สึกภายใน  ได้แก่  ทัศนคติ  ความเชื่อ  ความสนใจ
                                1.2.4 ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม  ได้แก่  เชื้อชาติ  ศาสนา  ขนบธรรมเนียมประเพณี
                1.3 ศึกษาเนื้อหา  เพื่อให้สื่อการสอนนั้นมีความสมบูรณ์และถูกต้องในเนื้อหาวิชาการการศึกษาเนื้อหา  อาจกระทำได้โดยค้นคว้าจากเอกสาร  ตำรา  ผลการวิจัย  การทดลอง  เป็นต้น  การศึกษาเนื้อหาอาจใช้เกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
                                1.3.1 มีเนื้อหาเฉพาะอะไรบ้างที่จะสอนหรือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการพิจารณาตามความเหมาะสมให้เพียงพอและให้อยู่ในขอบเขตของจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
                                1.3.2 มีข้อเท็จจริง  ความคิดรวบยอด  กฎ  หลักการและทฤษฎีอะไรบ้างที่สัมพันธ์กับเรื่องที่จะสอน  โดยพิจารณากำหนดเสนอให้เป็นขั้นตอนเพื่อความเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว
                1.4 เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องสัมพันธ์กับหัวข้อย่อยเนื้อหา  การเขียนหัวข้อย่อยเนื้อหาหลังจากศึกษาเนื้อหาของสื่อที่จะผลิตแล้ว  ขั้นต่อไปเราจะต้องนำเนื้อหาที่ศึกษามาแบ่งเป็นหัวข้อย่อยโดยให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด  โดยเขียนให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนก่อน-หลัง  ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน  เมื่อได้หัวข้อเนื้อหาย่อยแล้วก็เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับเนื้อหานั้นๆ
                1.5 การวิเคราะห์การผลิตเบื้องต้น  เป็นการวิเคราะห์เพื่อให้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมสอดคล้องกับหัวข้อเนื้อหา  จุดประสงค์เพื่อกำหนดสื่อการสอนที่จะทำการผลิตให้เหมาะสม  โดยการนำเอาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและหัวข้อเนื้อหามาเรียงให้สัมพันธ์กันอาจจะใช้เรียงบนบอร์ด  หรือลงตารางเตรียมการผลิตเบื้องต้นก็ได้
 
 
2. ขั้นเตรียมการผลิต
                2.1 วัสดุสามมิติ  ได้แก่  หุ่นจำลองต่างๆ  แผ่นป้ายชนิดต่างๆ  เป็นต้น  การผลิตวัสดุประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องเขียนบท  (Script)  เพียงแต่ออกแบบ  กำหนดขนาด  พร้อมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับวัสดุที่จะผลิตก็ลงมือผลิตได้เลย
                2.2 วัสดุแนวคิดเดียวหรือเรื่องสั้น  ได้แก่  แผนภูมิ  แผนภาพ  แผนสถิติ  ภาพโปร่งใส  เป็นต้น  ในการผลิตอาจจะทำเพียงการวางเค้าโครง  ว่าจะวางภาพตำแหน่งใดมีตัวอักษรประกอบที่ใดใช้สื่ออะไรตรงไหนบ้างก็นับว่าเพียงพอแล้ว
                2.3 วัสดุสองมิติเรื่องยาวหรือวัสดุอิเลคโทรนิคส์  ได้แก่  สไลด์เทป  รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์  เป็นต้น  การผลิตวัสดุประเภทนี้ต้องมีข้นตอนในการวางแผนค่อนข้างละเอียด  คือ
                                2.3.1 การทำบทดำเนินเรื่อง  (Treatment)  การทำบทดำเนินเรื่องเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก  ในการผลิตสื่อการสอน  เมื่อเขียนเรื่องออกมาอย่างไรก็จะนำไปผลิตอย่างนั้น  ดังนั้นในการเขียนเค้าโครงดำเนินเรื่องจะต้องพิจารณาถึงความเข้าใจและสื่อความหมายระหว่างผู้เขียนกับผู้ชมให้เข้าใจตรงกัน
                                2.3.2 การทำบัตรเรื่อง , ป้ายเรื่อง (Story Card , Story Board)  การทำบัตรเรื่องนำเนื้อเรื่องหรือคำบรรยายในเรื่องราวมาถ่ายทอดให้เป็นลักษณะรูปธรรมง่ายๆไม่สลับซับซ้อน  ซึ่งอาจแสดงออกในลักษณะรูปภาพ  สัญลักษณ์  ฯลฯ  พร้อมทั้งคำบรรยายหรือคำอธิบายเพื่อให้สามารถสื่อความรวมกับภาพได้อย่างสมบูรณ์  โดยแบ่งบทดำเนินเรื่องออกเป็นฉากๆตั้งแต่ต้นจนจบ  แต่ละฉากจะต้องให้ภาพและคำบรรยายอยู่ในลักษณะต่อเนื่องกันตามลำดับของบทดำเนินเรื่องที่เขียนไว้แล้ว  บัตรเรื่องอาจทำขึ้นง่ายๆทำด้วยกระดาษแข็งที่เรียกว่า  Card  มีลักษณะแบบ  Index  Card  ในห้องสมุดที่นิยมใช้กันทั่วไปมีขนาด  3’’ x 5’’  หรือ  4’’ x 6’’  ภายในบัตรเรื่องประกอบด้วย
                                                2.3.2.1 ชื่อเรื่อง  สำหรับชื่อเรื่องของสื่อการสอนที่จะผลิต
                                                2.3.2.2 เลขที่ภาพ  ได้แก่ หมายเลขลำดับที่ของภาพในบัตรเรื่อง
                                                2.3.2.3 กรอบภาพ  เป็นบริเวณสำหรับร่างภาพง่ายๆ
                                                2.3.2.4 คำบรรยาย  ใช้สำหรับบันทึกคำบรรยายตามเรื่องราวที่ผลิต  โดยสอดคล้องกับรูปภาพเพื่อจะได้สื่อความหมายตรงกัน
                                                2.3.2.5 บันทึกวิธีการผลิต  สำหรับบันทึกวิธีการผลิตหรือเทคนิคในการผลิต  อุปกรณ์การผลิต  การกำหนดมุมกล้องที่ต้องการในการผลิต  เป็นต้น
                                2.3.3 การเขียนบท  (Script)  การเขียนบทนิยมเรียกทับศัพท์ว่าสคริปท์  เปรียบเสมือนแผนที่หรือตัวกำหนดบทบาทแผนการที่จะนำไปสู่การผลิต  เพราะเป็นการกำหนดการถ่ายภาพ การทำอาร์ตเวิคและเทคนิคต่างๆ  เพื่อให้เกิดการสื่อความหมายได้ดี  เมื่อทำบัตรเรื่องเรียบร้อยแล้วเราก็นำเอาทั้งภาพและคำบรรยายมาใส่ลงในสคริปท์โดยกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมตามลักษณะของสคริปท์ที่กำหนดไว้  ส่วนประกอบของบทสคริปท์  ประกอบด้วยส่วนสำคัญ  2  ส่วน  คือส่วนที่เป็นภาพและส่วนที่เป็นเสียง  โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติม  ดังนี้
                                                2.3.3.1 ลำดับที่  เป็นตัวกำหนดภาพว่าภาพใดมาก่อนหลัง
                                                2.3.3.2 เวลา  เป็นระยะเวลาในการนำเสนอภาพพร้อมทั้งเสียงประกอบ
                                                2.3.3.3 รายละเอียดการถ่ายภาพ  เป็นตัวกำหนดรายละเอียดในการถ่ายภาพว่าต้องการภาพระยะใดมุมกล้องตรงไหน
                                                2.3.3.4 ส่วนที่เป็นรูปภาพใช้สำหรับบรรจุรูปภาพและตัวอักษรลงไปส่วนที่เป็นรูปภาพก็วาดภาพลงไปโดยต้องกำหนดรายละเอียดของภาพว่าเป็นแบบใดมีอะไรอยู่ในภาพบ้าง  สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสืออธิบายว่าเป็นภาพอะไรมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
                                                2.3.3.5 เสียงประกอบ  เป็นส่วนที่กำหนดว่าต้องการเสียงดนตรีประกอบประเภทใด  เป็นแบ็คกราวด์หรือต้องการเสียงประกอบอื่นๆ  เช่น  เสียงฝนตก  ฟ้าร้อง  น้ำไหล  เป็นต้น  เพื่อทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์คล้อยตามเรื่องที่นำเสนอ
                                                2.3.3.6 คำบรรยาย  เป็นส่วนที่บรรจุคำบรรยายตามเรื่องราวนั้นๆ
ข้อควรจำในการเขียนบทภาคเสียงมีดังนี้
                1. คำบรรยายจะต้องให้มีความสัมพันธ์กับภาพ เพราะคำบรรยายเป็นส่วนที่จะช่วยให้ภาพสื่อความหมายได้ดียิ่งขึ้น
                2. คำบรรยายอย่าให้ยาวเกินไป  ภาพที่ปรากฏขึ้นมาถ้าเป็นภาพนิ่งมีคำบรรยายยาวควรจะเพิ่มให้เห็นรายละเอียดมากยิ่งขึ้นหรือให้เห็นในมุมอื่นจะทำให้ผู้ชมไม่เกิดความเบื่อหน่าย
                3. ควรใช้เสียงประกอบเมื่อจำเป็น เพื่อให้ผู้ชมเกิดอารมณ์คล้อยตามเรื่อง
                4. ควรนำเอาเสียงของผู้แสดงหรือผู้ที่อยู่ในภาพเหตุการณ์เข้ามาด้วย  เพื่อทำให้เรื่องดูเป็นจริง
                5. ถ้าเป็นไปได้ดนตรีที่ต้องการควรจะบอกไปด้วยว่าต้องการดนตรีประเภทใด
ข้อเสนอแนะในการเขียนบัตรเรื่องและบทของสื่อการสอนที่เป็นภาพนิ่ง
                1. ลักษณะของภาพที่ดีควรยึดเกณฑ์ดังนี้
                                1.1 ต้องตรงจุดมุ่งหมายของการสอน
                                1.2 มีจุดมุ่งหมายในการสอนเดียวและมีความหมายสมบูรณ์
                                1.3 เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและเหมาะสมกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
                                1.4 มีความถูกต้องและชัดเจน
                                1.5 จัดวางรูปให้น่าสนใจ  โดยคำนึงถึงการจัดองค์ประกอบของภาพให้เหมาะสมสวยงาม
                2. คำบรรยายเป็นส่วนประกอบเพื่อให้ความสมบูรณ์ในภาพ  ควรสั้นและมีใจความกระชับง่ายแก่การเข้าใจและเหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้เรียน
                3. เวลาในการเสนอและจำนวนภาพ  สไลด์แต่ละภาพไม่ควรเกิน  20  วินาที  และในลักษณะของการบรรยายพบว่า  การฟังคำบรรยายอย่างเดียวผู้ฟังจะเริ่มเบื่อหน่าย  ผู้บรรยายไม่ควรใช้เวลาในการบรรยายไม่เกิน  45  นาที  ดังนั้นในการผลิตสไลด์แต่ละเรื่องจึงไม่ควรเกิน  30  นาที
                                2.3.4 การกำหนดรายละเอียด  (Specification)  การกำหนดรายละเอียดสำหรับเตรียมการผลิต
                                                2.3.4.1 ชนิดของวัสดุที่ผลิต  เช่น  ภาพถ่าย , สไลด์ , ฟิล์มสตริป , การบันทึกเสียง , แผ่นโปร่งแสง , ภาพยนตร์ , โทรทัศน์หรือวัสดุตั้งแสดง
                                                2.3.4.2 ชนิดของขนาดและวัสดุที่จะใช้  เช่น  Kodachrome , Diazo file, ฟิล์มชนิด  8  มม . หรือ 16 มม.  หรือภาพถ่ายขนาด  5 x7  นิ้ว
                                                2.3.4.3 จำนวนของภาพ , สไลด์,ฟิล์มสตริป , แผ่นโปร่งใส , การอัดบันทึกเสียง  จะใช้จำนวนเท่าใด
                                                2.3.4.4 เสียงประกอบจะใช้บรรยายโดยอัดเสียงลงในเครื่องบันทึกเสียงหรือจัดทำแบบ  SynchronlzedSound  หรือจะไม่บรรยายเลย
                                                2.3.4.5 สถานที่และอุปกรณ์ที่จะใช้กำหนดรายละเอียดของสถานที่ที่จะถ่ายทอดตลอดจนอุปกรณ์  การถ่ายภาพ  ฯลฯ
                                                2.3.4.6 จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคอื่นๆหรือไม่  เช่นการล้างฟิล์ม , การอัดรูปงานกราฟิก  ฯลฯ
                                                2.3.4.7 ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากใครบ้าง  เช่น  การจัดแสง , การบันทึกเสียง  ฯลฯ
                                                2.3.4.8 กำหนดเวลางานทุกอย่างที่ตะเสร็จเรียบร้อย
                                                2.3.4.9 งบประมาณค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
 
3. ขั้นดำเนินการผลิต
       ในการผลิตสื่อการสอนหรือวัสดุเทคโนโลยีทางการศึกษา  มีขั้นดำเนินการผลิตอยู่  3  ขั้น  คือ
                3.1 ขั้นถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว  บางครั้งจะต้องถ่ายทำทั้งภายในและภายนอกสถานที่  ผู้ถ่ายทำจะต้องมีความรู้ความสามารถในการถ่ายภาพและความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการถ่ายภาพเป็นอย่างดี
                3.2 ขั้นการจัดทำงานศิลปะกราฟิก  การผลิตสื่อการสอนทุกประเภทจะต้องอาศัยงานศิลปะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอการจัดภาพ , การเขียนตัวอักษร , วาดภาพปรกอบ  เป็นต้น  ผู้ปฏิบัติจะต้องมีทักษะความสามารถทางศิลปะจึงจะทำให้สื่อการสอนนั้นๆออกมามีคุณภาพ
                3.3 การบันทึกเสียง  เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ผู้ผลิตจะต้องรู้จักวิธีการบันทึกเสียงและสร้างสรรค์เสียงประกอบในสื่อที่ผลิต  เช่น  การบันทึกเสียงบรรยาย เสียงดนตรี  เสียงประกอบเป็นต้น  เพื่อให้สามารถควบคุมสร้างสรรค์คุณภาพของเสียงให้มีคุณภาพ  สามารถเร้าความสนใจของผู้ชมได้ดี
 
4. ขั้นทดลองและปรับปรุง
       สื่อการสอนที่ผลิตขึ้นจะต้องมีการทดลองใช้ประเมินผลดูว่าสื่อการสอนที่ผลิตนั้นคุ้มกับการลงทุนหรือไม่  ยังเป็นการประเมินผลในด้านต่างๆของสิ่งต่อไปนี้
                4.1 เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงให้สื่อมีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ตามที่กำหนด
                4.2 เพื่อให้นักเรียนเกิดประสบการเรียนรู้ได้ตรวจตามวัตถุประสงค์
                4.3 เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของสื่อที่ผลิต เพื่อให้สื่อนั้นมีคุณภาพสมบูรณ์และทันสมัย
 
5. การประเมินผลการใช้สื่อการสอน  จัดทำได้  4  วิธี  คือ
                วิธีที่  1  ลองชมสื่อนั้นก่อน  (Preview Panels)  วิธีนี้อาจให้ครูหลายๆคนมานั่งชมสื่อการสอนนั้น  และอธิบายถึงความเหมาะสมหรือความบกพร่องของสื่อนั้นๆ
                วิธีที่  2  ทดลองใช้สื่อการสอน  (Classroom Try-Out)  โดยการนำสื่อการสอนไปทดลองให้นักเรียนทั้งชั้นใช้  เพื่อดูประสิทธิภาพและข้อบกพร่องต่างๆ  เพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป
                วิธีที่  3  ครูแต่ละคนชมเป็นรายบุคคล  (Preview by Individual Teachers)  วิธีนี้ให้ครูแต่ละคนชมสื่อการสอนที่ต้องการประเมิน  ขอคำติชมจากครูเหล่านั้น  เพื่อนำมาปรับปรุงให้สื่อนั้นมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
                วิธีที่  4  ใช้วิธีประเมินผสมผสานกันหลายวิธี  คือ  ใช้ทั้งวิธีที่  1 , วิธีที่  2  และวิธีที่  3ผสมผสานกันการแก้ไขปรับปรุง  การแก้ไขปรับปรุงภายหลังการใช้จะทำเพียงครั้งเดียวแต่จะมีการปรับปรุงเป็นระยะๆ  เพื่อให้สื่อการสอนที่ผลิตมีคุณภาพสูง  โดยไม่มีข้อบกพร่องและทันสมัยอยู่เสมอ  การกำหนดงบประมาณในการผลิตจึงต้องกำหนดให้ครอบคลุมถึงการแก้ไขปรับปรุงด้วย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บทที่  3
กระบวนการพัฒนาสื่อการเรียนรู้
                สื่อการเรียนรู้เป็นอุปกรณ์การสอนสารอุปกรณ์การเรียนการสอนและวิธีการต่างๆ  เน้นถึงสิ่งที่นำมาใช้ช่วยประกอบในการสอน  เน้นที่ตัวผู้สอนเป็นสำคัญนำไปสู่กระบวนการพัฒนาสื่อการเรียนรู้  มีการดำเนินการได้ใน  2  ลักษณะใหญ่ๆ  คือการผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่และการจัดแปลง/ปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ที่จัดทำ/สร้างไว้แล้วการผลิตสื่อการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานมีขั้นตอน/วิธีผลิตที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป  ในที่นี้จะนำเสนอกระบวนการผลิตสื่อการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้กับการผลิตสื่อการเรียนรู้ทั่วๆไป  ซึ่งมีกระบวนการตามขั้นตอนได้แก่กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการผลิตสื่อศึกษาและกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียนกำหนด  และวิเคราะห์เนื้อหาสาระว่าจะต้องประกอบด้วยเนื้อหาสาระอะไรบ้าง  กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมกำหนดรูปแบบและวิธีประเมินผลกำหนดวิธีการและแนวทางการเสนอเนื้อหา  กำหนดแหล่งข้อมูลที่สนับสนุนการจัดทำสื่อการเรียนรู้  ยกร่างและจัดทำสื่อการเรียนรู้ตามรูปแบบและวิธีการที่กำหนดไว้ทดสอบคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่ผลิตขึ้น  ปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ตามข้อมูลที่ได้ศึกษาไว้แล้วนำสื่อที่ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปใช้ประโยชน์ต่อไป
1. ความหมายของสื่อการเรียนรู้
                ในทางการศึกษาได้มีผู้เรียกสื่อตัวกลางแตกต่างกันออกไปตามยุคตามสมัยตามความคิดเห็นและตามความเหมาะสมของแต่ละกรณีเช่นอุปกรณ์การสอนโสตทัศนอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์สื่อการสอนและสื่อการเรียน  ในปัจจุบันมักนิยมใช้คำว่าสื่อการเรียนการสอนแต่ละคำดังกล่าวมานี้ล้วนหมายถึงตัวกลางทั้งสิ้นแต่มีความหมายลึกซึ้งแตกต่างกันกล่าวคือสื่อการสอนเน้นที่ตัวผู้สอนส่วนสื่อการเรียนเน้นที่ตัวผู้เรียนแต่เนื่องจากการเรียนการสอนเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกันจึงน่าจะเรียกตัวกลางที่ใช้ในการเรียนการสอนว่าสื่อการเรียนการสอน
                สื่อการเรียนการสอนแต่เดิมนั้นใช้คำว่าอุปกรณ์การสอน  เน้นถึงสิ่งที่นำมาใช้ช่วยประกอบในการสอนแต่ต่อมาพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่นำมาใช้ช่วยในการสอนนั้นส่วนใหญ่ต้องใช้ประสาทตาและประสาทหูเพื่อการรับรู้จึงหันมาใช้คำว่า  โสตทัศนอุปกรณ์  หรือ  โสตทัศนูปกรณ์
                ต่อมาเมื่อมีการพิจารณารูปแบบของการเรียนการสอนว่าเข้าลักษณะของกระบวนการสื่อความหมาย  มีองค์ประกอบครบได้แก่ครูผู้สอนซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ส่งเนื้อหาวิชาตามหลักสูตรคือสารอุปกรณ์การเรียนการสอนและวิธีการคือสื่อผู้เรียนคือผู้รับซึ่งสื่อที่ว่านี้ก็คือตัวกลางนั่นเอง
                ด้วยเหตุและผลดังกล่าวข้างต้นจึงได้มีการนำคำว่าสื่อ  มาใช้แทนคำว่าอุปกรณ์และเนื่องจากเน้นที่ตัวผู้สอนเป็นสำคัญจึงเรียกว่าสื่อการสอน  จนถึงในยุคปัจจุบันการจัดการศึกษาได้หันมามุ่งเน้นที่ตัวผู้เรียนเพิ่มมากขึ้น  คำที่ใช้เรียกกันว่าสื่อการเรียน  (Learning Medias) จึงเกิดขึ้น
                อย่างไรก็ตามนักการศึกษาส่วนมากยังคงใช้คำว่าสื่อการสอและสื่อการเรียนถ้าหากจะพิจารณาให้ละเอียดและเข้าใจง่ายก็ต้องพิจารณาคำเรียก  โดยยึดถือเอาตัวผู้ใช้เป็นหลักเช่นสิ่งที่ครูผู้สอนนำมาช่วยสอนเรียกว่าสื่อการสอน  ได้แก่  แผนภูมิรูปภาพแผนภาพ
                การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นได้  โดยไม่ต้องมีผู้สอนผู้เรียนอาจได้พบเห็นได้ยินหรือกระทำกิจกรรมต่างๆด้วยตนเองโดยใช้สื่อรูปแบบต่างๆ  ซึ่งเรียกว่าสื่อการเรียนแต่เมื่อใดก็ตามที่มีการสอนจะต้องมีการเรียนเกิดขึ้นถ้าสื่อการสอนและสื่อการเรียนสอดคล้องสัมพันธ์กันการเรียนการสอนก็จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายตามที่หลักสูตรต้องการเช่นครูใช้แผนภูมิอธิบายการสอนเรื่องอวัยวะส่วนต่างๆของนกประกอบคำอธิบายและในขณะเดียวกันครูผู้สอนได้พิมพ์ภาพลายลักษณ์คล้ายนกในแผนภูมิแจกจ่ายให้ผู้เรียนคนละแผ่นผู้เรียนฟังคำอธิบายจากครูผู้สอนและจดบันทึกคำบรรยายส่วนต่างๆ  ลงในภาพนกกระบวนการเรียนการสอนในสภาพเช่นนี้จะช่วยให้การเรียนรู้ดำเนินไปอย่างราบรื่นสะดวกรวดเร็วและเข้าใจง่ายเราเรียกแผนภูมิว่าสื่อการสอนและเรียกภาพนกในกระดาษของผู้เรียนว่าสื่อการเรียนและเนื่องจากสิ่งที่ครูผู้สอนนั้นผู้เรียนก็ได้ใช้ประกอบในการเรียนรู้ไปด้วยดังนั้นสิ่งที่ครูผู้สอนนำมาใช้ในกระบวนการสอนจึงน่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะเรียกว่าสื่อการเรียนการสอนได้สื่อการเรียนการสอนจึงหมายถึงสิ่งที่ช่วยในการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนและผู้เรียนเป็นผู้ใช้เพื่อช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพเช่น
                1. ทำให้สิ่งที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่ายขึ้น
                2. เป็นการสร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ
                3. ช่วยเสริมสร้างความคิดและการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของนักเรียน
                4. สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่างๆเกี่ยวกับเวลาระยะทางและขนาดได้เช่น
                4.1 ทำให้สิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วดูช้าลงเพื่อศึกษาได้
                                4.2 ทำให้สิ่งที่เคลื่อนไหวช้าดูเร็วขึ้นเพื่อศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลง
                                4.3 สามารถนำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาศึกษาได้
                                4.4 สามารถย่อยสิ่งใหญ่ให้เล็กลงเพื่อให้สะดวกแก่การศึกษา
                                4.5 ขยายสิ่งเล็กให้ใหญ่ขึ้น
                                4.6 ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้น
                                4.7 สามารถนำสิ่งที่อยู่ไกลมาศึกษาได้
2. กระบวนการพัฒนาสื่อการเรียนรู้
                หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีลักษณะต่างไปจากหลักสูตรที่ผ่านมาที่สถานศึกษาจะต้องจัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษาเอง บทบาทในการผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ตามหลักสูตรของสถานศึกษาจึงเป็นภารกิจที่ครูผู้สอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องดำเนินการ  เพราะสื่อการเรียนรู้ที่มีอยู่เดิม  หรือมีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดคงมิอาจจะสนองผลการเรียนรู้รายปี/รายภาคตามหลักสูตรกลุ่มสาระต่างๆ ของสถานศึกษาได้อย่างครบถ้วน การผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดรับผลการเรียนรู้รายปี/รายภาค  อาจดำเนินการได้ใน  2  ลักษณะใหญ่ๆ  คือ
                1. การผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่
                2. การจัดแปลง/ปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ที่จัดทำ/สร้างไว้แล้ว
1. การผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่
                การผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่  เป็นวิธีการได้มาซึ่งสื่อการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนสามารถกำหนดรูปแบบสาระการเรียนรู้และวิธีนำเสนอสาระการเรียนรู้ของสื่อชิ้นนั้นได้ตามความต้องการของผู้สอนอย่างแท้จริงแต่ครูผู้สอนจะต้องใช้เวลาในการออกแบบและดำเนินการผลิตจัดทำสื่อชิ้นนั้นมากบ้างน้อยบ้างตามแต่ละชนิดหรือประเภทของสื่อที่จะผลิตการผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่สามารถทำได้หลายรูปแบบเช่น
                1.1 หนังสือเรียน  เป็นสื่อการเรียนรู้พื้นฐานสำหรับการเรียนการสอนในชั้นเรียนซึ่งมีเนื้อหา/สาระครอบคลุมขอบข่ายสาระการเรียนรู้  ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรหนังสือเรียนที่ดีไม่เพียงแต่นำเสนอข้อเท็จจริงหรือความรู้ต่างๆเท่านั้น  แต่จะต้องให้แนวทางแก่ผู้เรียนในการศึกษาความรู้เพิ่มเติมพัฒนาความคิดและการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันด้วยหนังสือเรียน  มีลักษณะพิเศษที่จะช่วยผู้เรียนให้ศึกษาทำความเข้าใจสิ่งต่างๆเป็นขั้นตอนทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับจนเกิดการเรียนรู้สิ่งที่กว้างขวางขึ้นการเรียนรู้จากหนังสือบางบท/หน่วยการเรียนรู้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองแต่บางบท/หน่วยการเรียนรู้ผู้เรียนก็จำเป็นต้องได้รับคำชี้แนะช่วยเหลือจากผู้สอนเพื่อเสริมเติมเต็มสาระการเรียนรู้ให้มีความสมบูรณ์ชัดเจนยิ่งขึ้นรูปแบบของหนังสือเรียนอาจทำในลักษณะของหน่วยการเรียนรู้เช่นสาระการเรียนรู้กลุ่มสุขศึกษาและพลศึกษาชั้นปีที่1  กำหนดสาระไว้  4  หน่วยการเรียนคือหน่วยกายใจสมบูรณ์หน่วยเพิ่มพูนพลานามัยหน่วยปลอดภัยไร้พิษและหน่วยชีวิตมีคุณค่าซึ่งแต่ละหน่วยจะมีสาระแยกเป็นเรื่องๆไป
                1.2 คู่มือครู/คู่มือการสอน/คู่มือการจัดการเรียนรู้  เป็นสื่อที่ให้แนวทางกับครูผู้สอน  ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้  ให้เป็นไปตามจุดประสงค์หรือมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร  โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของบทเรียนเนื้อหา/สาระการเรียนรู้กิจกรรม/กระบวนการเรียนรู้สื่อการเรียนรู้  การวัดผลและประเมินผลบางเล่มอาจมีสาระอื่นๆเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วเช่นกิจกรรมเสนอแนะเพิ่มเติม  โครงงานและภาคผนวกหรืออาจจะเสนอหลักการทฤษฎีและหรือความรู้  โดยละเอียดสำหรับครูผู้สอน
                1.3 ชุดการเรียนการสอน  ประกอบด้วยสื่อหลายๆชนิดจัดรวมไว้เป็นชุดเช่นคู่มือแนะนำการใช้ชุดการเรียนการสอนหนังสือเรียนหนังสืออ้างอิงใบงานแบบฝึกหัด/แบบฝึกกิจกรรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสไลด์วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ  ในการทำชุดการเรียนการสอนอาจจัดทำในรูปแบบที่จะสามารถบูรณาการภายในกลุ่มหรือระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้  ตลอดจนบูรณาการกระบวนการใช้สื่อแต่ละชนิดในชุดให้เหมาะสมกับกาลเวลาและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
                1.4 บทเรียนสำเร็จรูป  เป็นสื่อที่เหมาะสมสำหรับให้ผู้เรียนใช้เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองประกอบด้วย  สาระการเรียนรู้ที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และประเมินผลการเรียนได้ด้วยตนเองซึ่งอาจจัดทำในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์  เช่น  หนังสือและสื่อเทคโนโลยีเช่นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAT)
                1.5 แบบฝึกหัด/แบบฝึกทักษะ/แบบฝึกกิจกรรม  เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ครูควรเป็นผู้จัดทำขึ้นเองเพราะครูเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนจึงย่อมจะทราบดีว่าสาระส่วนใด  ควรจะมีแบบฝึกที่จะช่วยเสริมทักษะให้กับผู้เรียน
                1.6 สื่อเสริมการเรียนรู้อื่นๆ  เป็นสื่อที่มีสาระลึกซึ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่  (Theme)  เช่นเรื่องดิน  จักรวาล  ประเทศเพื่อนบ้าน  หรืออาจมีสาระรวมหลายๆเรื่องเพื่อการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าได้ตามความสนใจและความสามารถของแต่ละบุคคลสื่อเสริมการเรียนรู้นี้  อาจจัดทำในรูปของหนังสือแถบบันทึกภาพพร้อมเสียงแถบบันทึกเสียงสไลด์ซีดีรอมอินเทอร์เน็ต
 
 
3. การผลิตสื่อการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน
            การผลิตสื่อการเรียนรู้แต่ละประเภทอาจมีขั้นตอน/วิธีผลิตที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป  ในที่นี้จะนำเสนอกระบวนการผลิตสื่อการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้กับการผลิตสื่อการเรียนรู้ทั่วๆ  ไปซึ่งมีกระบวนการตามขั้นตอนต่อไปนี้
                3.1 กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการผลิตสื่อ
                3.2 ศึกษาและกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียน  โดยพิจารณาว่าผู้ที่จะใช้สื่อนั้นคือใครมีความรู้และประสบการณ์เดิมมาอย่างไรเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดคุณสมบัติส่วนอื่นๆของสื่อให้เหมาะสมต่อไป
                3.3 กำหนดและวิเคราะห์เนื้อหาสาระว่า  จะต้องประกอบด้วยเนื้อหาสาระอะไรบ้างทั้งนี้ควรจะต้องพิจารณากำหนดเนื้อหาสาระให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้และให้เหมาะสมกับผู้เรียนด้วย
                3.4 กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม  โดยการตีความและจำแนกแยกย่อยจุดประสงค์ทั่วไปให้ละเอียดลงไปถึงขั้นที่ทราบได้ว่าเมื่อผู้เรียนเรียนรู้  จากสื่อนั้นแล้วสามารถทำอะไรได้บ้างซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต่อไป
                3.5 กำหนดรูปแบบและวิธีประเมินผล
                3.6 กำหนดวิธีการและแนวทางการเสนอเนื้อหา  เป็นการวางแผนว่าจะเสนอเนื้อหาสาระในรูปแบบใด  เรียงลำดับหัวข้อและเนื้อหาอย่างไร  มีตัวอย่าง  มีการนำเรื่อง  สรุปเรื่องหรือทบทวนเรื่องอย่างไร  ควรมีแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมแทรกอยู่ด้วยหรือไม่  ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
                3.7 กำหนดแหล่งข้อมูลที่สนับสนุนการจัดทำสื่อการเรียนรู้  ไม่ว่าจะผลิตสื่อการเรียนรู้ชนิดใด อาจจะเป็นสิ่งพิมพ์หรือสื่อเทคโนโลยี  ผู้ผลิตจะต้องกำหนดว่าจะหาข้อมูลสนับสนุนได้จากแหล่งใด  เช่น  แหล่งค้นคว้าเกี่ยวกับเนื้อหา  ภาพประกอบ  แผนภูมิ  เป็นต้น
                3.8 ยกร่างและจัดทำสื่อการเรียนรู้ตามรูปแบบและวิธีการที่กำหนดไว้
                3.9 ทดสอบคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่ผลิตขึ้น  โดยนำสื่อต้นแบบไปทดลองใช้กับกลุ่มบุคคลที่เป็นตัวแทนของผู้เรียนที่จะต้องใช้สื่อนั้น  ใช้สื่อต้นแบบนี้จัดการเรียนการสอนจริงๆ  เพื่อศึกษาข้อบกพร่องต่างๆ  สำหรับนำมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงสื่อให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
                3.10 ปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ตามข้อมูลที่ได้ศึกษาไว้
                3.11 นำสื่อที่ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปใช้
 
 
บทที่  4
การใช้เครื่องมือเทคโนโลยี
                เทคโนโลยีการศึกษาเป็น  การนำความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี  เทคนิควิธีการต่างๆ  มาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน  เพื่อมุ่งหวังให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียน  ผู้ศึกษาตามจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร  โดยได้รับอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์  ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาระบบการศึกษาของไทยช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาและบทบาทของเทคโนโลยี  สำหรับประเภทของเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีการศึกษา  แบ่งได้เป็น  ประเภทเครื่องเสียง  ประเภทเครื่องฉาย  ประเภทนิทรรศการเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการศึกษาและการเรียนรู้เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการบริหารจัดการเครือข่าย  เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการบริหารข้อมูลและหลักสูตร
1. ความหมาย
                "เทคโนโลยีการศึกษา"  หมายถึง  การนำความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี  ทั้งวัสดุ  อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลไกและเทคนิควิธีการต่างๆ  มาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน  เพื่อมุ่งหวังให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียน  ผู้ศึกษาตามจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของหลักสูตรนั้นๆ
 
2. อิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์
                อิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์  ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาระบบการศึกษาของไทยช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บทบาทของเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารได้ส่งผลต่อกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโลกอย่างที่  Peter  Drucker  ได้กล่าวว่า  ความรู้ไม่มีพรมแดน  และด้วยปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้นักคิดอย่าง  Don  Tapscott  ระบุคุณลักษณะของเศรษฐกิจใหม่ของโลกตั้งแต่สังคมบนพื้นฐานของระบบดิจิตอล  ไปจนถึงความเป็นโลกาภิวัตน์  ทั้งนี้โดยมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวจักรสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงนี้
 
3. บทบาทของเทคโนโลยี
                ศาสตราจารย์ จอห์น โดโนแวน  กล่าวถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของระบบอินเทอร์เน็ตว่า  เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองนอกจากนี้  บิล  เกตส์  แห่งไมโครซอฟต์  ซึ่งมองเห็นคุณค่ามหาศาลของโลกาภิวัตน์  ที่ข้อมูลความรู้จากทั่วทุกมุมโลกต่างเชื่อมโยงถึงกันผ่านทางด่วนสารสนเทศ  ซึ่งจะอำนวยผลประโยชน์แก่วงการศึกษา  ส่วนสังคมใดจะได้ประโยชน์มากน้อยจากกระแสของโลกาภิวัตน์นี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมและกลไกการพัฒนาการเข้าถึงของสังคมนั้นๆ  ในทางตรงกันข้าม กระแสโลกาภิวัตน์สามารถส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคมที่ขาดความพร้อม  ในการพัฒนาการเข้าถึง รวมถึงพื้นฐานของสังคมที่ยังขาดความเข้าใจและความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีได้เช่นเดียวกัน  กลไกการจัดการเรียนรู้หรือการศึกษาภายใต้สังคมทางเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น  ปัจจัยสำคัญอยู่ที่  2  ส่วนหลักๆ  ก็คือ  ระบบ  และ  เครื่องมือ
 
4. ประเภทของเครื่องมือ อุปกรณ์เทคโนโลยีการศึกษา
                ประเภทของเครื่องมือ  อุปกรณ์เทคโนโลยีการศึกษาแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ  ได้ดังนี้
                4.1 เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการนำเสนอ  ลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ประเภทนี้จะเป็นได้ทั้งส่วนสื่อหลักซึ่งสามารถถ่ายทอดสาระการเรียนรู้ได้โดยตรง  ในรูปของนิทรรศการและส่วนสนับสนุน  เพื่อให้เกิดการศึกษาหรือการเรียนรู้  ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งผ่านหรือแสดงส่วนขยายข้อมูลไปยังเป้าหมายในรูปของเสียง  หรือภาพ  หรือภาพเคลื่อนไหวในส่วนของเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการนำเสนอ  ในส่วนนี้ประกอบด้วยเครื่องมือหลายประเภท  อาทิ
                                4.1.1 ประเภทเครื่องเสียง  ได้แก่  เครื่องขยายเสียง  เครื่องเล่น  CD / DVD  เครื่องเล่นเทปบันทึกเสียง  ไมโครโฟนและชุดลำโพง  โทรทัศน์  วิทยุ  เป็นต้น
                                4.1.2 ประเภทเครื่องฉาย  ได้แก่  เครื่องฉายสไลด์ , เครื่องฉายภาพยนตร์ , เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายวัสดุทึบแสง , เครื่องฉายวีดิทัศน์ , Plasma  TV , LCD TV
 
                                4.1.3 ประเภทนิทรรศการ  ด้วยเทคโนโลยีทางการพิมพ์ภาพลงบนวัสดุพลาสติกที่เรียกว่า Vinyl Inkjet  สามารถพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่และมีราคาถูกลง  รวมถึงการออกแบบก็กระทำได้โดยง่ายด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์  ทำให้สื่อรูปแบบนิทรรศการขยายตัวอย่างรวดเร็ว  ปัจจุบันการเผยแพร่ความรู้  การจัดการศึกษาในรูปแบบต่างๆ  ได้พึ่งพาอุปกรณ์การนำเสนอประเภทนี้นำมาจัดร่วมกันในรูปแบบของนิทรรศการ ได้แก่  ป้าย  บอร์ด  pop-up ,  roll up, Exhibition  Set  เป็นต้น
                                การที่จะให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการ จะต้องมีตัวสื่อหรือข้อมูลนำเข้าเป็นหลัก  ซึ่งอาจจะอยู่ในรูป  CD-Rom DVD  หรือเทปเสียง  หรือตัวบุคคลเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการนำเสนอจะเป็นส่วนขยายหรือส่งผ่านข้อมูลไปปรากฏยังสถานที่หรือตำแหน่งต่างๆ  ในพื้นที่หรือบริเวณที่ได้กำหนดไว้นอกจากนี้จะมีวัสดุที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือในรายการข้างต้นอยู่หลายรายการ  อาทิ  สายต่อพ่วงระบบเสียงต่างๆชุดต่อระบบไฟฟ้า  วัสดุยึดเชื่อมต่อชุดนิทรรศการ  เป็นต้น
                4.2 เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการศึกษาและการเรียนรู้  ในส่วนของเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการศึกษาและการเรียนรู้  ที่อยู่ในกรอบของเทคโนโลยีสารสนเทศในอดีตเราใช้วิทยุ  โทรทัศน์รวมถึงเครื่องมืออื่นๆ  อาทิ  เครื่องเล่นเทปเสียง  เครื่องเล่นเทป  วีดิทัศน์  ต่อมาเมื่อยุคคอมพิวเตอร์มีพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่มีคุณภาพมากขึ้น  รวมถึงราคาถูกลง  สื่อคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในรูปของCD-Rom  และ  DVD  เป็นส่วนใหญ่ราคาถูกลงอย่างมาก อีกทั้งเทคโนโลยีของเว็บได้เป็นบันไดพาไปสู่สังคมการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่นั่นคือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่โยงใยทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน
สรุปได้ว่า  ปัจจุบันเรายังใช้รายการวิทยุ  รายการโทรทัศน์  ผ่านเครื่องรับเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้  เรามีสื่อบนแผ่น  CD-Rom  และ  DVD  ในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  สื่อรายการวิดีทัศน์  หรือสื่อเสียง  ที่ใช้กับเครื่องเล่น  VCD  และ  DVD  ทำให้เครื่องเล่นเทปเสียงและเครื่องเล่นเทปวิดีทัศน์  ต่างก็ค่อยๆหายไปจากโลกของสื่อ
                4.3 เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการบริหารจัดการเครือข่าย  ในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศปัจจัยสำคัญในการจัดการศึกษานั่นคือ  การเข้าถึงมวลความรู้ที่มีอยู่มากมายมหาศาลในโลกของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  อุปกรณ์ที่จำเป็นมีหลากหลายประการ  อุปกรณ์หลัก  ได้แก่  ชุดคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องมือในการบริหารและจัดการเครือข่าย  จะมีอยู่ใน  2  ลักษณะ  คือลักษณะของผู้ใช้งานระบบกับลักษณะของผู้ให้บริการและผู้บริหารการศึกษา/เรียนรู้
 
                ในส่วนของผู้ใช้งานระบบที่เห็นได้ชัดนอกจากชุดคอมพิวเตอร์แล้วต้องมี  ส่วนเชื่อมต่อสัญญาณ  หรือที่เรียกว่า  Modem  (ที่ปัจจุบัน มีใช้กันน้อยลง ซึ่งจะเป็นระบบ ADSL เป็นส่วนใหญ่) หรือระบบ  network  หรือ  ส่วนจัดการเครือข่าย  เป็นต้น
                4.4 เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อการบริหารข้อมูลและหลักสูตร  ในการดำเนินการจัดกิจกรรมทางการศึกษาและการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศปัจจัยสำคัญก็คือข้อมูลการเรียนรู้ต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตร  สื่อประกอบการเรียนรู้  สาระเนื้อหารายวิชา  กลไกที่จะดูแลในการนำข้อมูลเหล่านี้นำมาให้บริการหรือให้การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ  จำเป็นต้องมีระบบบริหารและจัดการข้อมูลเหล่านี้  ซึ่งจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีคุณภาพในการจัดระบบบริหารข้อมูล
 
ปัจจุบันกลไกวิธีการแบบนี้  จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินการซึ่งจะอยู่ในรูปของโปรแกรมนำมาวางเป็นระบบที่เรียกว่า  ระบบบริหารจัดการข้อมูลหรือหลักสูตร ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อของ  CMS

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น