ความหมายของคอมพิวเตอร์การศึกษา
ความหมายของคอมพิวเตอร์การศึกษา
(Computer
– Based Education)
คอมพิวเตอร์เป็นคำที่ประกอบด้วยคำ 2 คำ
คือ คอมพิวเตอร์และการศึกษาคำว่า“คอมพิวเตอร์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พุทธศักราช 2525ให้ความหมายไว้ว่า“เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ
ทำหน้าที่เหมือนสมองกลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ
ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์”
ส่วนคำว่า “การศึกษา” ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้ว่า “กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้การฝึกการ
อบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ
การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากสภาพแวดล้อมการเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต”
สรุปความแล้วคอมพิวเตอร์ศึกษา หมายถึง
การนำเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่แทนการทำงานของมนุษย์ในการคำนวณ
แก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ
ทางคณิตศาสตร์ที่ช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในวงการศึกษานั้นในต่างประเทศได้นำมาใช้นานแล้วตั้งแต่ปลายทศวรรษที่
1950s โดยเริ่มนำมาใช้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งได้นำใช้ในด้านการบริหาร จัดการเรียนการสอบ ตลอดจนการวิจัยการเรียนการสอน ในปี
1960 มหาวิทยาลัย Illinois ได้เริ่มโครงการ PLATO (ย่อมาจาก Programmed
Logic for Automatic – Teaching Operation) เพื่อออกแบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอน
และยังพัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในรายวิชาต่าง ๆ
ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงบัณฑิตวิทยาลัยรวมทั้งการฝึกอบรมทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ในปี
1972 ได้มีโครงการ TICCIT ของบริษัท Mitre
Corporation ได้เสนอการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบมินิคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนได้ด้วยตนเอง
(Learner – Controlled) ช่วงการทศวรรษที่ 1970s บริษัทคอมพิวเตอร์ทั้งหลายได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ขึ้น
จนได้นำมาใช้ในวงการศึกษาอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากเครื่องมีขนาดเล็กลงและราคาก็ไม่สูงมากนักจึงทำให้มีการพัฒนา
วิจัยการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการศึกษาอย่างไม่หยุดนิ่ง
ประกอบกับวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาให้ง่ายต่อการใช้งาน
ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูง ขนาดเล็กลง
คุณภาพของภาพ เสียง มีความคมชัด และมีความเป็นจริงเสมือนมากขึ้น
จึงเกิดนวัตกรรมขึ้นอีกหลายด้านที่ควรค่าแก่การนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในมนุษย์อย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์การศึกษา
ตามนัยแล้วเป็นการนำคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในมนุษย์ ดังนั้นถ้านวัตกรรมเทคโนโลยีใดก็ตามที่มีคอมพิวเตอร์เป็นส่วนร่วมและช่วยก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ก็น่าจะนับได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์การศึกษา
ซึ่งความหมายจะกว้างครอบคลุมมากแต่ก็พอที่จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการการสอน (Computer – Managed Instruction: CMI)
2. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer – Assisted
Instruction: CAI)
บทบาทคอมพิวเตอร์ที่มีต่อการศึกษา เช่น
1.
งานบริหาร (Administrative
Application) ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการบริหารองค์การ
เช่น งานการเงิน บัญชี พัสดุ ทะเบียน และสารบรรณ
2.
งานหลักสูตร (Curriculum
Application) ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อนำมาปรับปรุงหลักสูตร เช่น ผลการเรียน อัตราส่วนระหว่างผู้เรียนต่อครู
3.
งานห้องสมุด (Library
Application) ได้แก่
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการห้องสมุด เช่น
การค้นหนังสือแทนการใช้บัตรรายการ เป็นต้น
4. งานพัฒนาวิชาชีพ (Professional
development Application) คือ
การให้ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แก่ครู เพื่อนำมาปรับปรุงการเรียนการสอน
5. งานวิจัย (Research
application)ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเก็บผลการวิเคราะห์
6.
งานแนะแนวและบริการพิเศษ (Guidance
and Special Service Application) ได้แก่
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการเก็บรายงานผลการเรียน และพฤติกรรมผู้เรียน เป็นต้น
7.
งานทดสอบ (Testing
Application) ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างข้อสอบ
วิเคราะห์และประเมินผลการเรียน
8.
สื่อการสอน (Instructional
Aids Application) ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อ
9.คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted
Instruction) ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ในการสอน การฝึกหัด
การแก้ปัญหาโจทย์วิชาต่าง ๆ เป็นต้น
สรุปแล้ว
คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
อาจเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประกอบการเรียนเป็นการเรียนรู้จากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์
เพื่อเป็นการพัฒนาการเรียนรู้เป็นการสร้างความเจริญงอกงามพัฒนาตนเองและสังคม
สื่อประสมในการศึกษา
ใช้สื่อประสมในการศึกษาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก
โดยใช้ในลักษณะของการสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ( CAI ) รูปแบบต่างๆ
การใช้สื่อประสมในการศึกษาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก
โดยใช้ในลักษณะของการสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ( CAI ) รูปแบบต่างๆ เช่น
สถานการณ์จำลอง เกม การทบทวน ฯลฯ
ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ผลิตบทเรียนลงแผ่นซีดีออกจำหน่ายมากมายหรือผู้สอนจะจัดทำบทเรียนเองได้โดยใช้โปรแกรมประยุกต์ต่างๆช่วยในการจัดทำ
ตัวอย่างเช่น
วงการแพทย์สามารถใช้สถานการณ์จำลองของการผ่าตัดกับคนไข้เสมือนจริงหรือด้านวิศวกรรมศาสตร์ใช้สื่อประสมของการออกแบบวงจรไฟฟ้าเพื่อให้ผู้เรียนฝึกการออกแบบ
ทดสอบและใช้วงจรนั้นได้ หรือแม้แต่เด็กนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาก็สามารถใช้สื่อประสมในการเสนอเรียงความแก่ครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นได้เช่นกัน
การใช้สื่อประสมในการศึกษาจะมีประโยชน์มากมายหลายด้าน เช่น
1.ดึงดูดความสนใจ
บทเรียนสื่อประสมในลักษณะสื่อหลายมิติที่ประกอบด้วยภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์และเสียง
นอกเหนือไปจากเนื้อหาตัวอักษร
จะดึงดูดความสนใจจากผู้เรียนได้เป็นอย่างดีและช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนด้วย
2.การสืบค้นเชื่อมโยงฉับไว
ด้วยสมรรถนะของการเชื่อมโยงหลายมิติทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ในสิ่งต่างๆได้กว้างขวางและหลากหลายอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องเรียนไปตามลำดับเนื้อหา
3.การโต้ตอบระหว่างสื่อและผู้เรียน
บทเรียนสื่อประสมจะมีจุดเชื่อมโยงหลายมิติเพื่อให้ผู้เรียนและสื่อมีปฏิสัมพันธ์กันได้ในลักษณะสื่อประสมเชิงโต้ตอบ
4.ให้สารสนเทศที่หลากหลาย ด้วยการใช้ซีดีและดีวีดีในการให้ข้อมูลและสารสนเทศในปริมาณที่มากมายและหลากหลายรูปแบบเกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียนที่สอน
5.ทดสอบความเข้าใจ
ผู้เรียนบางคนอาจจะไม่กล้าถามข้อสงสัยหรือตอบคำถามในห้องเรียน
การใช้สื่อประสมจะช่วยแก้ปัญหาในสิ่งนี้ได้โดยการใช้ในลักษณะการศึกษารายบุคคล
6.สนับสนุนความคิดรวบยอด
สื่อประสมสามารถแสดงสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนความคิดรวบยอดของผู้เรียน
โดยการเสนอสิ่งที่ตรวจสอบย้อนหลังและแก้ไขจุดอ่อนในการเรียนเราสามารถใช้สื่อประสมเพื่อการศึกษาได้ในลักษณะต่าง
ๆ เช่น
6.1.เกมเพื่อการศึกษา
การใช้เกมส์ในลักษณะของสื่อประสมจะเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างมากนอกเหนือไปจากความสนุกสนานจากการเล่นเกมส์ตามปกติ
เกมส์ต่างๆจะมีการสอดแทรกความรู้ด้านต่างๆ เช่น คำศัพท์ ความหมายของวัตถุ
แผนที่ทางภูมิศาสตร์ การฝึกทักษะด้านความเร็วในการคิดคำนวณ ฯลฯ
เกมส์จะแบ่งออกเป็นหลายประเภทเพื่อการเรียนรู้ในแต่ละด้าน เช่น
เกมส์เพื่อการกีฬาจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ด้านกฎเกณฑ์การแข่งขัน
เปิดโอกาสให้เด็กปลดปล่อยความก้าวร้าวในตัวออกมาช่วยให้ความว้าวุ่นสงบลงหรือเกมส์ด้านความเร็วจะช่วยพัฒนาทักษะและประสาทมือและตาให้มีการทำงานที่สัมพันธ์กัน
6.2.การสอนและทบทวน
สื่อประสมเพื่อการสอนและทบทวนจะมีด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น การฝึกสะกดคำ การคิดคำนวณและการเรียนภาษา
ผู้เรียนจะมีโอกาสเรียนรู้จากการสอนในเนื้อหาและฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวนไปด้วยไปด้วยในตัวจนกว่าจะเรียนเนื้อหาในแต่ละตอนได้เป็นอย่างดีแล้วจึงเริ่มในบทใหม่ตามหลักของการสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย
6.3.สารสนเทศอ้างอิง
สื่อประสมที่ใช้สำหรับสารสนเทศอ้างอิงเพื่อการศึกษามักจะบรรจุอยู่ในแผ่นซีดี-รอม
เนื่องจากสามารถบรรจุข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก โดยจะเป็นลักษณะเนื้อหานานาประเภท เช่น
สารานุกรม พจนานุกรม แผนที่โลก ปฏิทินประจำปี สาระทางการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น TIME : Man of the Year ซึ่งเป็นการเสนอประวัติศาสตร์และเรื่องราวของบุคคลสำคัญที่เคยลงเป็นหน้าปกนิตยสาร
TIME ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในรูปแบบของภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว ข้อความตัวอักษรและเสียง
อินเทอร์เน็ตกับการศึกษา
อินเทอร์เน็ตสามารถให้ผู้เรียนติดต่อสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและสามารถสืบค้นหรือเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศจากทั่วโลก
จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัยการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตกับกิจกรรมตามหลักสูตรเดิมที่มีอยู่
ทำให้ผู้เรียนเกิด ทักษะในด้านการคิดอย่างมีระบบ (High - Order Thinking Skills) การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) การวิเคราะห์สืบค้น
(Inquiry - Based Analytical Skill) การวิเคราะห์ข้อมูล
การแก้ปัญหา และการคิดอย่างอิสระเป็นการสนับสนุนกระบวนการสหสาขาวิชาการ (Interdisciplinary)
คือ ในการนำ เครือข่ายมาใช้เชื่อมโยงกับกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น
นักการศึกษาสามารถที่จะบูรณาการการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ เช่นคณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์
สังคม ภาษา วิทยาศาสตร์ ฯลฯ
เข้าด้วยกันอินเทอร์เน็ตเมื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาก็จะทำให้เกิดประโยชน์และสร้าง
ความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาให้มากยิ่งขึ้น
รูปแบบของอินเทอร์เน็ตทางการศึกษา
รูปแบบของอินเทอร์เน็ตทางการศึกษาสามารถแบ่งออกเป็น
3 รูปแบบ ดังนี้การศึกษาค้นคว้า อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่รวมเครือข่ายงานต่าง
ๆ ไว้มากมาย ทำ
ให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ได้ทั่วโลกการติดต่อสื่อสาร
ผู้เรียนและผู้สอนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการติดต่อ
สื่อสารได้ไม่ว่าจะเป็นการรับส่ง E-mail , Chat , Telnet , Usenet เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้สอนจะใช้อินเทอร์เน็ตในการนำเสนอบทเรียน สั่งงาน
ตอบคำถามข้อสงสัย รับงาน ฯลฯ
ส่วนผู้เรียนจะใช้อินเทอร์เน็ตในการเรียนรู้ ส่งงาน
ทบทวนบทเรียนระหว่างผู้สอนแล้วยังสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนอื่น ๆ
เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในหัวข้อต่าง ๆ
ได้อีกด้วยการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ต การใช้อินเทอร์เน็ตในการเรียนการสอนนั้น
สามารถทำได้ในรูปแบบการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web Based Instruction : WBI) ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่ประยุกต์คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ต โดยนำ
ทรัพยากรที่มีอยู่ใน WWW มาเป็นสื่อกลางเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง เอกสารประกอบการเรียน บทเรียน สำเร็จรูป
หรือแม้กระทั่งหลักสูตรวิชา เนื่องจาก Web เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและหลายรูปแบบ
ทั้งตัวอักษร ภาพนิ่ง การเคลื่อนไหวหรือ เสียง
โดยอาศัยคุณลักษณะของการเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ทั้งในรูปแบบของ
ข้อความหลายมิติ (Hypertext) หรือสื่อหลายมิติ (Hypermedia)เพื่อเชื่อม โยงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน
และเป็นการนำประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการค้นคว้าข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก
หลักการใช้อินเทอร์เน็ต
หลักการใช้อินเทอร์เน็ต
โดยใช้หลัก SMART
ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
(S) Safety ความปลอดภัย
(M) Manners ความมีมารยาท
(A) Advertising and
Privacy Protection การรักษาสิทธิส่วนบุคคลในการเลือกรับสื่อโฆษณา
(R) Research ความสามารถในการค้นคว้าข้อมูลที่เป็นประโยชน์
(T) Technology ความเข้าใจเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ตสิ่งที่จำเป็นต้องรู้บนอินเทอร์เน็ตProtocol
ภาพประกอบ : http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/24/immage/internet1.jpg
Protocol
คือ กฎระเบียบหรือภาษากลางของคอมพิวเตอร์ เพื่อ
ให้ทุกเครื่องติดต่อด้วยมาตรฐานเดียวกัน
TCP/IP (Transmission Control
Protocol/Internet Protocol)TCP/IP เป็นโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ติดต่อสื่อสารในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต (Internet Address)ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต หรืออีเมล์แอดเดรส
จะประกอบด้วยชื่อของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (user) และชื่อของอินเทอร์เน็ต
(Internet Name) โดยจะมีรูปแบบคือ user@ Internet Name เช่น Noomuan@nakornping.cmri.ac.th
จะหมายถึงผู้ใช้ชื่อ Noomuan เป็นสมาชิกของเครื่องที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเป็น
nakornping.cmri.ac.th
หมายเลขอินเทอร์เน็ต (IP Address)
หมายเลขอินเทอร์เน็ต จะเป็นรหัสไม่ซ้ำกัน
ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด ที่คั่นด้วย เครื่องหมายจุด (.) เช่น 205.151.224.10
จะเป็น IP
Adress ของ cmri.ac.th ( สถาบันราชภัฏเชียงใหม่)
แต่ละชุดจะไม่เกิน 255หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับ IP Address ทั่วโลกโดยตรง ก็คือหน่วยงาน InterNIC (Internet Network
Information Center)
ชื่ออินเทอร์เน็ต (DNS:Domain Name
Server)
ชื่ออินเทอร์เน็ต
จะเป็นชื่อที่อ้างถึงคอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น (เนื่องจาก IP Address เป็นตัวเลข 4 ชุด ที่ยากในการจดจำ) DNSนั้นจะประกอบ
ไปด้วยชื่อคอมพิวเตอร์ ชื่อเครือข่ายท้องถิ่น ชื่อสับโดเมน และชื่อโดเมน เช่น mail.ksc.net.th,
jupiter.ksc.net.th (mail , jupiter คือ ชื่อคอมพิวเตอร์ ,
ksc คือ ชื่อเครือข่ายท้องถิ่น , net คือชื่อสับโดเมน
, th คือชื่อโดเมน) WWW.cmri.ac.th (www คือชื่อเครื่องที่ให้บริการข้อมูลแบบ World Wide Web , cmri คือชื่อ เครือข่ายท้องถิ่น , ac คือชื่อสับโดเมน ,
th คือชื่อโดเมน)
การสืบค้นข้อมูลจาก
WWW
ส่วนมากจะใช้ Search Engine ในการสืบค้นข้อมูลจาก WWW Search Engine เป็นเครื่องมือในการค้นหาเว็บไซต์
ทำหน้าที่ในการให้บริการค้นหาข้อมูล
โดยเน้นเรื่องความสามารถในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสะดวกมากขึ้นในการค้นหาข้อมูลในเรื่องราวต่างๆ
โดยเว็บไซต์พวกนี้จะมีบริการอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นของต่างประเทศหรือของไทย
วิธีใช้ Search Engine เริ่มจากหาเว็บไซต์และ Directory
ที่มีเนื้อหาที่เราสนใจ
จากนั้นก็คลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ที่ต้องการก็จะพบหน้าแรกที่เป็นช่องและเครื่องมือการสืบค้น
ดังนี้
ค้นหา
จากนั้นก็ใส่ข้อมูลที่ต้องการลงในช่องค้นหา
และกดปุ่ม Search
ค้นหา และทางเว็บไซต์จะทำการค้นหาและรายงานผลการค้นหา
แสดงชื่อเว็บไซต์ และ Directory ที่เกี่ยวข้องให้ทราบ
Search Engine ที่นิยมกันมีมากมายเช่น
www.google.com , www.sanook.com , www.hunsa.com , www.siamguru.com ,
www.hotsearch.dbg.co.th , www.thaifind.com , www.yumyai.com , www.thaiseek.com เป็นต้น
คำศัพท์บางคำที่เกี่ยวข้อง
Web Site เป็นเครื่องที่ใช้ในการจัดเก็บเว็บเพจ
แต่ละองค์กรที่จะนำเสนอข้อมูลของตนในรูปของเว็บนี้ มักจะมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง และมักใช้ชื่อองค์กรเป็นชื่อเว็บไซต์
เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถจดจำได้ง่าย
Home Page เว็บเพจหน้าแรกสุดของข้อมูลแต่ละเรื่อง
ซึ่งก็เปรียบเหมือนหน้าปกของหนังสือนั่นเอง ส่วนของโฮมเพจนี้
จะเป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าข้อมูลนี้เป็น ข้อมูลเรื่องใด
พร้อมกับมีสารบัญในการเลือกไปยังหัวข้อต่าง ๆ ในเรื่องนั้น ๆ ด้วย
Web Page เอกสารข้อมูลในแต่ละหน้าซึ่งถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา
HTML ข้อมูลที่แสดงในเว็บเพจแต่ละหน้านี้อาจประกอบด้วย
ข้อความ ภาพ และเสียง จึงเป็นข้อมูลแบบสื่อประสม (Multimedia)
Web Browser เว็บเพจแต่ละหน้าเป็นเอกสารข้อมูลที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา
HTML ดังนั้น
การที่เครื่องของเราจะอ่านและแสดงผลเว็บเพจเหล่านี้ได้
จะต้องมีโปรแกรมพิเศษสำหรับทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ โปรแกรมเหล่านี้เรียกว่า
เว็บเบราเซอร์ (Web Browser) ซึ่งมีอยู่มากมายในปัจจุบัน
แต่ที่รู้จักกันดี ได้แก่ InternetExplorer (IE) ของบริษัท Microsoft
และ Netscape Navigator ของบริษัท Netscape
ซึ่งทั้งสองโปรแกรมนี้มีขีดความสามารถที่ใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก
WWW (World Wide Web) เป็นแหล่งข้อมูลแบบใยแมงมุม
HTML (HyperText Makeup Language) ระบบสร้างไฟล์ข้อมูล WWW
HTTP (HyperText Transfer Protocol) ระบบตอบโต้สำหรับการโอนไฟล์ไฮเปอร์เท็กซ์ซึ่งเป็นข้อมูล WWW
Hypertext ไฮเปอร์เท็กซ์เป็นคำที่มีข้อความหรือไฟล์ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเมนูหรือคำอธิบายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ
Login ล็อกอิน
คือการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของศูนย์คอมพิวเตอร์
Server เซิร์ฟเวอร์
คือศูนย์คอมพิวเตอร์หลักที่ให้บริการ
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตทางการศึกษา
Barron
and Ivers (1996, pp. 4-8)
ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางการศึกษา ดังนี้
1.
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตที่มีต่อผู้เรียน
อินเทอร์เน็ตทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้รับความรู้ใหม่
ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย
เรียนรู้ประสบการณ์จากสภาพความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน
เกิดทักษะความคิดขั้นสูงและเป็นการช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรวมถึงเป็นการฝึกให้เกิดทักษะการเขียนด้วยเหตุผลสนับสนุนดังต่อไปนี้
1.1 การศึกษาวัฒนธรรมที่หลากหลาย
ในสังคมผู้สอนจะเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจและยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างจากตนเอง
การสอนให้ผู้เรียนยึดแต่วัฒนธรรมแบบเดิมจะเป็นการเตรียมผู้เรียนให้เป็นคนที่ไม่สามารถทำงานร่วมเป็นกลุ่มได้
ประโยชน์จากการใช้อินเทอร์เน็ต คือ
การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนคนอื่นที่มีภูมิหลังต่างจากตนเอง
การสื่อสารทางไกลทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและความเคารพในวัฒนธรรมต่างแดนมากขึ้น
1.2 เรียนรู้ประสบการณ์จากสภาพที่เป็นจริง
การเรียนในโรงเรียนจะได้ประโยชน์อย่างมากเมื่อได้จัดกิจกรรมให้สัมพันธ์กับแหล่งข้อมูล
อินเทอร์เน็ตทำให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลที่ทันสมัย
เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนแบบเดิม
แล้วพบว่าการสื่อสารทางไกลเปิดโลกทัศน์ของผู้เรียนให้กว้างขึ้น
1.3 การเพิ่มทักษะการคิดอย่างมีระบบ
ผู้เรียนที่ใช้การสื่อสารทางไกลจะมีทักษะการคิดแบบสืบสวนสอบสวนและทักษะการคิดอย่างมีระบบ
เพราะลักษณะของการใช้อินเทอร์เน็ตที่ผู้เรียนต้องมีทักษะการคิดวิเคราะห์ในการเลือกรับข้อมูลและได้สื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญ
1.4 สร้างแรงจูงใจให้มีทักษะในการเขียน
ผู้เรียนที่มีประสบการณ์การใช้การ-สื่อสารทางไกลจะมีความสามารถในการเขียนเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้กิจกรรมดังกล่าวยังช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ในการเขียนและเพิ่มแรงจูงใจให้มีการเขียนและแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนผู้ร่วมอภิปราย
2.
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตที่มีต่อผู้สอน
เมื่อมีการใช้อินเทอร์เน็ตทำให้ผู้สอนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางการศึกษา
การวิจัย
การวางแผนการสอนและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเช่นกัน
คุณค่าของการเปิดรับข้อมูลทำให้ได้รับรู้กลยุทธ์การสอนที่หลากหลาย
สามารถนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพของการเรียนการสอนที่เป็นประโยชน์ทั้งผู้เรียนและผู้สอน
2.1
การสอนแบบร่วมมือ (collaborative)
ทำให้ผู้สอนมีความสามารถเพิ่มขึ้นเมื่อใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือผ่านเครือข่าย
เช่น การออกแบบให้มีสภาพและการประชุมระหว่างผู้สอนเพื่ออภิปรายประเด็นอันหลากหลาย
เช่น การบริหารโรงเรียนการประเมิน แนวทางการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นต้น
อินเทอร์เน็ตยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อของผู้สอนอีกด้วย
2.2 กลยุทธ์การสอนที่หลากหลาย
เมื่อมีการสื่อสารทางไกลทำให้การสอนเปลี่ยนทิศทาง
การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นการช่วยเพิ่มเวลาที่ผู้เรียน
ทำให้ติดต่อสื่อสารกับผู้สอนเป็นรายบุคคลมากขึ้น
ลดเวลาในการจดคำบรรยายในชั้นเรียนและทำให้ผู้เรียนมีเวลาทำรายงานมากขึ้น
2.3
พัฒนาหลักสูตร เมื่อการสื่อสารทางไกลด้วยอินเทอร์เน็ตมีอิทธิพลกับหลักสูตร
ทำให้ประเด็นในการเรียนการสอนสอดคล้องกับสภาพของสังคมมากขึ้น ยกระดับของทักษะ
ความคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้จากการเรียนด้วยการใช้สื่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแตกต่างจากสิ่งที่สอนในห้องเรียน
เพราะ เป็นวิธีการที่นำไปสู่โครงการที่เขียนจากความร่วมมือของทุกฝ่าย
อินเทอร์เน็ตทำให้ได้ข้อสรุปจากหน่วยงาน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพนอกจากการสอนแบบเดิมผู้สอนและผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลจากสารานุกรม
หนังสือ เอกสารงานวิจัย และโปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษาจากอินเทอร์เน็ต
3.
ประโยชน์ที่มีต่อผู้เชี่ยวชาญการผลิตสื่อ
ทำให้ได้พบกับแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่ดีกว่า
ประหยัดเวลากว่าและพบผลงานที่แตกต่างจากในท้องถิ่นของตนเอง
3.1
แหล่งข้อมูลความรู้ การใช้อินเทอร์เน็ตทำให้ได้พบกับแหล่งข้อมูล เช่น นิตยสาร
วารสาร ฐานข้อมูล ผลการวิจัย การสำรวจความคิดเห็น ภาพกราฟิก เสียง
ภาพยนตร์และซอฟต์แวร์ เหมือนกับย่อโลกทั้งใบมาไว้ในจอคอมพิวเตอร์
3.2
ข้อมูลที่ทันสมัย ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเป็นข้อมูลที่ทันสมัยเหมาะกับการศึกษา
ความสามารถในการติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญทำให้ได้รับข้อมูลแบบปฐมภูมิได้คำตอบครบประเด็นกับปัญหาที่ถาม
และการได้รับทราบความคิดเห็นจากแหล่งอื่นอีกทั้งยังมีการเชื่อมโยงเอกสารไปยังห้องสมุดหรือแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
3.3
เครื่องมือสอนให้ผู้เรียนมีทักษะ
อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการศึกษาวิจัย
ผู้เรียนสามารถตั้งสมมติฐาน วิเคราะห์และทำรายงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
เพราะมีระบบและเครื่องมือในการสืบค้นมากมายและทำให้ผลที่จัดทำขึ้นมีแหล่งข้อมูลอ้างอิงจำนวนมาก
3.4 การพบปะกับสมาชิก
พบว่าเหตุผลอันดับหนึ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารต่อการใช้อินเทอร์เน็ต คือ
ความสะดวก ประหยัดเวลา ความเป็นหมวดหมู่ สามารถสื่อสารกับสมาชิกอื่น ๆ
ทั่วโลกโดยเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง และช่วยลดความรู้สึกว่าทำงานอยู่คนเดียวในโรงเรียน
4.
ประโยชน์ที่มีต่อเจ้าหน้าที่
ในระดับของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน การใช้อินเทอร์เน็ตช่วยลดความซับซ้อน
การจัดเตรียมและเอกสาร
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างยิ่งในการรับและปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องรับและส่งข้อมูลภายนอกองค์กร
4.1
การจัดการเอกสาร การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารเป็นการประหยัดงบประมาณ
ลดการใช้กระดาษ มีความรวดเร็วมีประสิทธิผลและเป็นการบันทึกข้อมูล
รวมถึงยังช่วยลดความผิดพลาดในการสื่อสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย
4.2
การสื่อสารภายนอกองค์กร
การใช้อินเทอร์เน็ตทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลที่ทันสมัยทันทีจากที่ประชุมทางการศึกษา
การวิจัย และจากผู้สอน การติดต่อกับธุรกิจเอกชนหรือหน่วยงานอื่น ๆ
ก็ต้องใช้อินเทอร์เน็ต
5.
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตที่มีต่อการสื่อสาร
การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแนวทางที่ดีที่ทำให้การสื่อสารระหว่างโรงเรียน
กองทุนสนับสนุนการศึกษา โครงการเพื่อการศึกษา องค์กรพิเศษอื่น ๆ และอาสาสมัคร
ในการเชื่อมโยงไปถึงผู้นำธุรกิจในท้องถิ่น
ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่สามารถเข้าใช้อินเทอร์เน็ตได้
5.1 การสื่อสารกับโรงเรียน
การใช้อินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ปกครองมีโอกาสเป็นผู้ช่วยกำหนดการบ้านของบุตรหลาน
และยังได้ร่วมประชุมกับครูหรือผู้ปกครองคนอื่นด้วย
5.2
กิจกรรมการสื่อสารของผู้เรียน
การใช้อินเทอร์เน็ตทำให้ผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เรียน
ผู้เรียนจำนวนมากได้รับคำแนะนำ
คำอบรมสั่งสอนที่มีค่าจากผู้สูงอายุผ่านทางอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตกับการเรียนการสอน
การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ
แต่ในประเทศไทยยังนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการเรียนการสอนโดยตรงนับว่ายังน้อยอยู่
สถาบันการศึกษาทั้งในระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย
จะมีการใช้อินเทอร์เน็ตในรูปแบบของการใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
และผู้เรียนกับผู้เรียน ซึ่งการเรียนการสอนโดยใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
สามารถทำได้หลายรูปแบบ
มนชัย เทียนทอง (2545, หน้า
360-361) จำแนกรูปแบบการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการเรียนการสอน ออกเป็น 4 รูปแบบ คือ
1. Standalone Course เป็นลักษณะการเรียนที่ตัวเนื้อหาบทเรียนและส่วนประกอบต่าง
ๆ ทั้งหมดถูกนำเสนอบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ผู้เรียนเพียงแต่ต่อเชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบโดยป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
ก็สามารถเข้าไปศึกษาบทเรียนได้ เริ่มตั้งแต่การลงทะเบียน การเลือกวิชาเรียน
การศึกษา การวัดประเมินผล และการรายงานผลการเรียน
ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะดำเนินการโดยระบบการจัดการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษาในชั้นเรียนจริงก็สามารถศึกษาจนจบหลักสูตรได้
การเรียนการสอนลักษณะนี้เปรียบเสมือนเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ไม่มีกำแพงกั้น
หรือเรียกว่า “No Wall School หรือ No Classroom” องค์ความรู้ทั้งหมดจะถูกนำเสนอผ่านบทเรียน
ผู้เรียนเพียงแต่ต่อเชื่อมมาจากสถานที่ต่างๆ
ก็สามารถเข้าศึกษาในชั้นเรียนเดียวกันได้ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Cyber
Class หรือ Cyber Classroom
2. Web Supported Course เป็นลักษณะการเรียนการสอนปกติแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียนระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
แต่ใช้บทเรียนที่นำเสนอบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สนับสนุนหรือสอนเสริม
เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลากหลายขึ้น
ไม่เฉพาะทางด้านการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำกิจกรรม
การทำกรณีศึกษา การแก้ปัญหา หรือการติดต่อสื่อสาร
ซึ่งบทเรียนที่นำเสนอบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ที่ใช้สนับสนุนการเรียนการสอนปกติตามรูปแบบนี้กำลังมีบทบาทอย่างสูงต่อระบบการศึกษาในปัจจุบัน
อันเนื่องมาจากความไม่พร้อมของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์
และการแพร่ขยายของระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้การจัดการเรียนการสอนในลักษณะของ Standalone
Course ยังทำไม่ได้ในบางชุมชน
การใช้บทเรียนที่นำเสนอบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสนับสนุนการเรียนการสอนปกติจึงเป็นทางเลือกใหม่ในการจัดการศึกษาปัจจุบัน
ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการที่ผู้เรียนนั่งฟังคำบรรยายจากผู้สอนเฉพาะเพียงแต่ในชั้นเรียนเท่านั้น
3. Collaborative Learning เป็นลักษณะการเรียนการสอนแบบร่วมมือโดยใช้บทเรียนที่นำเสนอบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยที่ผู้เรียนจากชุมชนต่าง ๆ
ทั้งในและนอกประเทศต่อเชื่อมระบบเข้าสู่บทเรียนในเวลาเดียวกันพร้อมกันหลาย ๆ
คนและศึกษาบทเรียนเรื่องเดียวกัน ซึ่งสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการตอบคำถาม แก้ปัญหา
ทำกิจกรรมการเรียนการสอน และดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในการร่วมกันสร้างสรรค์บทเรียน
ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายองค์ความรู้ขนาดใหญ่ที่ท้าทายและชวนให้ผู้เรียนติดตามบทเรียนโดยไม่เกิดความเบื่อหน่าย
4. Web Pedagogical Resources เป็นการเรียนการสอนลักษณะที่มีการนำแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ ที่มีอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาใช้สนับสนุนการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ
ซึ่งได้แก่ แหล่งเว็บไซต์ที่เก็บรวบรวมข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์
และเสียง รวมทั้งบทเรียนที่นำเสนอบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ลักษณะของการใช้สนับสนุนจึงสามารถใช้ได้ทั้งการประกอบการเรียนการสอนและการทำกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง
ๆ
ห้องเรียนเสมือนจริง
(Vitual
Classroom)
ห้องเรียนเสมือนจริง หมายถึง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบของ software โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้
โดยสามารถเลือกเวลา และสถานที่ที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดห้องเรียนเสมือนคือ
ระบบปฏิบัติการของห้องเรียนเสมือน ที่ต่างไปจากการเรียนในห้องเรียน รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่
นอกจากนั้นสิ่งที่การเรียนในห้องเรียนเสมือนไม่มีคือ
การปฏิสัมพันธ์หรือสังคมระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องคิดว่าห้องเรียนเสมือนจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ห้องเรียนเสมือน
เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมในความว่างเปล่า (space) โดยอาศัยศักยภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
เพื่อให้เป็นการจัดประสบการณ์เสมือนจริงแก่ผู้เรียน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสนับสนุน
อื่น ๆ ที่จะช่วยทำให้การมีปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้า ซึ่งบางโอกาสอาจจะเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากนั้น
สามารถกระทำได้เสมือนบรรยากาศการพบกันจริง ๆ กระบวนการทั้งหมดดังที่กล่าวมานี้
มิใช่เป็นการเดินทางไปที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่จะเป็นการเข้าถึงด้านการพิมพ์
การอ่านข้อความ หรือข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีซอฟแวร์
เพื่อควบคุมการสร้างบรรยากาศแบบห้องเรียนเสมือน
การมีส่วนร่วมจะเป็นแบบภาวะต่างเวลา ซึ่งทำให้มีผู้เรียน
ในระบบห้องเรียนเสมือนสามารถเชื่อมต่อเข้าไปศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา
“ ทำไมต้องมี Virtual classroom”
การคิดค้นห้องเรียนเสมือนเกิดจากข้อจำกัดของการเรียนการสอนแบบเดิม
คือ
1. สถานที่จำกัดเฉพาะในห้องเรียน
2. การเรียนรู้จำกัดเฉพาะกับครู
ผู้เรียน และตำรา
3. เวลาในการจัดการเรียนการสอน
4. โอกาสในการเรียนการสอน
สถานที่เรียนไม่เพียงพอกับผู้ประสงค์จะเรียน
5. สัดส่วนของครูและนักเรียนไม่เหมาะสม
ลักษณะของห้องเรียนเสมือนห้องเรียนเสมือนสามารถจำแนกได้เป็น
2 ลักษณะ คือ
1. จัดการเรียนการสอนในห้องเรียนธรรมดา
แต่มีการถ่ายทอดสดภาพและเสียงเกี่ยวกับเนื้อหาของบทเรียน
โดยอาศัยระบบโทรคมนาคมและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกว่า Online ไปยังผู้เรียนที่อยู่นอกห้องเรียน ซึ่งสามารถโต้ตอบกับผู้สอน
หรือเพื่อนที่อยู่คนละแห่งได้
2. ห้องเรียนเสมือน
เป็นการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่าย
ที่อาศัยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต ทำได้โดยผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์เข้าสู่เว็บไซต์ของห้องเรียนเสมือน
และดำเนินการเรียนตามกิจกรรมที่ผู้สอนได้ออกแบบไว้ ห้องเรียนลักษณะนี้เรียกว่า
"ห้องเรียนเสมือนที่แท้"
ข้อจำกัดห้องเรียนเสมือน
ข้อจำกัดของการเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือนมีหลายประการดังนี้
1.
อุปกรณ์และซอฟแวร์ในการเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือนมีราคาแพง
2. มีความล่าช้าในการรอข้อมูลย้อนกลับ
ดังนั้นนักเรียนจึงไม่สามารถได้รับคำตอบโดยทันทีเมื่อต้องการซักถามผู้สอน
3.
ผู้เรียนต้องมีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี
4. ปฎิสัมพันธ์ทางการเรียนไม่มีความเป็นธรรมชาติ หรือมีน้อยเกินไป
5.
ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังขาดความรับผิดชอบในการเรียนด้วยตนเอง
การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือน
นับเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่ช่วยลดข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ ทางการศึกษาได้เป็นอย่างดี
ทำให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความพอใจ ตามความพร้อมทั้งทางด้านเวลา
สถานที่และความสามารถทางสติปัญญา
การเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือนนี้สามารถจัดได้ทั้งแบบการศึกษาในโรงเรียน
นอกโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ส่งผลให้คนส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดห้องเรียนเสมือนอยู่อีกมาก เช่น
ระบบบริหารจัดการของห้องเรียน การประเมินผลสัมฤทธิ์ของการเรียน
และสิ่งที่การเรียนในห้องเรียนเสมือนไม่มีก็คือ
ปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมระหว่างผู้เรียนด้วยกัน สิ่งเหล่านี้คือคำถามที่ต้องคิดว่าห้องเรียนเสมือนจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แม้ว่าต้นทุนในการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือนจะสูงมาก
แต่ถ้าหากมีการบริการจัดการจนมีประสิทธิภาพ และเป็นที่แพร่หลายแล้ว
ผลกำไรจะเกิดขึ้นกับสังคมและประเทศชาติ ในรูปของคนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความรู้
ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาส่วนต่าง ๆ
ของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา
เทคโนโลยีกับการพัฒนาการเรียนการสอน
ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(Information and
Communication Technology : ICT) เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม และการศึกษา จนเกิดภาพความแตกต่างระหว่างประเทศที่มีความพร้อมทาง ICT กับประเทศที่ขาดแคลนที่เรียกว่า Digital
Divide ในขณะเดียวกันประเทศทั่วโลกต่างมุ่งสร้างสังคมใหม่ให้เป็นสังคมที่ใช้ความรู้เป็นฐาน
(Knowledge Based Society) จนเกิดภาพความแตกต่างระหว่างสังคมที่สมบูรณ์ด้วยความรู้กับสังคมที่ด้อยความรู้
ที่เรียกว่า Knowledge Divide ในยุคของการปฏิรูปการศึกษา เราเร่งพัฒนาการศึกษาให้การศึกษาไปพัฒนาคุณภาพของคน
เพื่อให้คนไปช่วยพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงเป็นเครื่องมือที่มีพลานุภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการศึกษา
เช่น ช่วยนำการศึกษาให้เข้าถึงประชาชน (Access) ส่งเสริมการเรียนรู้ต่อเนื่องนอกระบบโรงเรียนและการเรียนรู้ตามอัธยาศัย
ช่วยจัดทำข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารและจัดการ
ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำในการจัดทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรักษา
และการเรียกใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ในงานจัดการศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอน แต่การให้ความสนใจกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ของผู้เรียนก็อาจหลงทางได้
ถ้าผู้บริหารสถานศึกษายึดถือการมีเทคโนโลยีเป็นจุดหมายปลายทางของการศึกษา
แทนที่จะยึดถือผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นจุดหมาย
ปรากฎการณ์ของการหลงทางจะพบเห็นในการประชาสัมพันธ์ถึงความพร้อมทางระบบคอมพิวเตอร์
การมีเครือข่ายโยงเข้า Internetสะดวก
ผู้เรียนเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี และมีโอกาสใช้ได้เต็มที่
แต่ในบางสถานศึกษาผู้เรียนอาจใช้เทคโนโลยีไม่คุ้มค่า
ขาดเป้าหมายในการเรียนรู้สาระสำคัญตามหลักสูตรวิชาต่าง ๆ และขาดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนากระบวนการทางปัญญาอย่างแท้จริง
เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational
Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน(วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมายถึง
ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ
มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ
3ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm)
เทคโนโลยีกับการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนมี 3
ลักษณะ คือ
1. การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about
Technology) ได้แก่ เรียนรู้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์
เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น
สื่อสารข้อมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น
2. การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by
Technology) ได้แก่
การเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะ
บางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม
การค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet เป็นต้น
3.
การเรียนรู้กับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่
การเรียนรู้ด้วยระบบการสื่อสาร 2 ทาง (interactive) กับเทคโนโลยี
เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความถูกต้อง (Feedback)
การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นต้น
เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
1.
การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
มิได้หมายถึงแต่เพียงตำรา ครู และอุปกรณ์การสอน ที่โรงเรียนมีอยู่เท่านั้น
แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการศึกษา
ต้องการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ครอบคลุมถึงเรื่องต่างๆ
เช่น
1.1
คน ได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น
ซึ่งอยู่นอกโรงเรียน เช่น เกษตรกร ตำรวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น
1.2
วัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ
โทรทัศน์ เครื่องวิดีโอเทป ของจริงของจำลองสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงการใช้สื่อมวลชนต่างๆ
1.3 เทคนิค-วิธีการ
แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเนื้อหา
แก่ผู้เรียนปัจจุบันนั้น
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้มากที่สุด ครูเป็นเพียง
ผู้วางแผนแนะแนวทางเท่านั้น
1.4
สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม
ที่ทำการรัฐบาล ภูเขา แม่น้ำ ทะเล หรือสถานที่ใด ๆ
ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เรียนได้
2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล
ถึงแม้นักเรียนจะล้นชั้น และกระจัดกระจาย ยากแก่การจัดการศึกษาตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธีนำเอาระบบการเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้
แต่แทนที่จะใช้ครูสอนนักเรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียนโปรแกรม’ ซึ่งทำหน้าที่สอน ซึ่งเหมือนกับครูมาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเอง
จากแบบเรียนด้วยตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือสื่อประสมหลายๆ
อย่าง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทำได้ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน
3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา
การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์
ที่เชื่อถือได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้
เนื่องจากกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของระบบ
อย่างมีเหตุผล หาทางให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบทำงาน
ประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา
วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา
หรือการเรียนการสอนปัจจุบันจะต้องมีการพัฒนา ให้มีศักยภาพ
หรือขีดความสามารถในการทำงานให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็น
รูปแบบที่พัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่อนสอน
ในการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ผลที่ได้รับจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนในรูปแบบการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ข้อดีของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.
คอมพิวเตอร์จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
เนื่องจากการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์นั้นเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่
และมีผลย้อนกลับมาได้เร็วทันที โดยไม่ต้องรอครูผู้สอน
2.
การใช้สี ภาพกราฟิกที่มีการเคลื่อนไหว เสียงดนตรี
ซึ่งเป็นการเพิ่มความเหมือนจริงและดึงดูดใจผู้เรียนให้อยากเรียนรู้
ทำแบบฝึกหัดหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น
3.
ความสามารถของหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะช่วยในการบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ
ของผู้เรียนไว้เพื่อใช้ในการวางแผนบทเรียนในขั้นต่อไปได้
4.
การเก็บข้อมูลของเครื่องทำให้สามารถนำไปใช้ในลักษณะของการศึกษารายบุคคลได้เป็น
อย่างดี โดยสามารถกำหนดบทเรียนให้แก่ผู้เรียนแต่ละคน
และแสดงผลความก้าวหน้าให้เห็นได้ทันที
5.
ลักษณะโปรแกรมบทเรียนที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เรียน
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนช้าสามารถเรียนไปได้ตามความสามารถของตน
โดยสะดวกอย่างช้า ๆ โดยไม่ต้องอายผู้อื่น และไม่ต้องอายเครื่องเมื่อตอบผิด
และผู้เรียนเรียนที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้
เนื่องจากปัจจุบันเราได้ใช้ระบบการสื่อสารทางด้านคอมพิวเตอร์ติดต่อหรือค้นคว้าด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา
6.
เป็นการช่วยขยายขีดความสามารถของครู ในการควบคุมผู้เรียนได้อย่างใกล้ชิด
เนื่องจากสามารถบรรจุข้อมูลได้ง่ายและสะดวกในการนำออกมาใช้
ข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.
ใช้วิธีการเร้าความสนุกมากเกินไป ซึ่งบทเรียนบางบทเรียนที่เน้นความสนุก
โดยนำเข้าไปแทรกในบทเรียน บางทีอาจจะไม่มีสาระต่อการเรียนรู้ก็ได้
2.
การออกแบบโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ใช้ในการเรียนการสอนนั้น ยังพัฒนาไปได้ไม่มากนัก
เมื่อเทียนกับการออกแบบโปรแกรมเพื่อใช้ในวงการด้านอื่น ๆ
และยังไม่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย
3.
เนื้อหาไม่ตรงกับสาระวิชาหรือหลักสูตร
ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่แท้จริง ที่จะสามารถนำมาสอนได้
4.
การที่จะให้ครูผู้สอนเป็นผู้ออกแบบโปรแกรมบทเรียนเองนั้น นับว่าเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลา
สติปัญญา ความชำนาญและความสามารถเป็นพิเศษ
ทำให้เป็นการเพิ่มภาระของครูผู้สอนให้มีมากยิ่งขึ้น
5.
ผู้เรียนบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่
อาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียนตามขั้นตอน ทำให้เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ได้
6.
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจำนวนมาก ไม่มีความเป็นธรรมชาติเหมือนอยู่ในห้องเรียน
นวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนาการศึกษา
การคิดสร้างสรรค์หรือกรรมวิธีใหม่ๆ
ซึ่งต่างไปจากที่เคยปฏิบัติมาใช้แก้ปัญหาในการปฏิบัติงานต่างๆ
ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เราเรียกว่า“นวัตกรรม” นวัตกรรมตรงกับคำว่า
“innovation” ในภาษาอังกฤษ
ซึ่งแปลว่า To renew หรือ to modify หรือ “ทำขึ้นมาใหม่”
ดังนั้น คนเราจึงควรมีนวัตกรรม คือ ต้องรู้จักสร้างสรรค์
ต้องมีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน
ในการพัฒนาการเรียน
การสอนให้มีประสิทธิภาพ
และเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในบั้นปลายนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ ครู-อาจารย์
จะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ ที่คิดค้นขึ้นในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา”
นั่นเอง ฉะนั้นคำว่า นวัตกรรมการศึกษา จึงหมายถึง การนำสิ่งใหม่ๆ
แนวความคิดวิธีการหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งได้ผ่านการทดลอง วิจัย
หรืออยู่ระหว่างการทดลอง หรือ
อาจเป็นสิ่งที่เคยใช้แล้วมาปรับปรุงใหม่มาใช้ในการศึกษาเพื่อปรับปรุง
หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ให้ดี ยิ่งขึ้น
ในการจัดกระบวนการเรียนการสอน
โดยนำนวัตกรรมการศึกษามาประยุกต์ใช้
จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลาตาม ความต้องการ นวัตกรรมการเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย
วิถีคิด ที่ออกนอกกรอบเดิม พอสมควร คือ จะต้อง ออกนอก “ร่อง”
หรือ ช่องทางเดิมๆที่เคยชิน เรียกได้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด
หรือ กระบวน ทัศน์ที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับการเรียนรู้เสียใหม่ จากที่เคยเข้าใจว่า
การเรียนรู้ คือ การศึกษาเพียงเพื่อให้ ได้รู้นั้น
มาเป็นการเรียนรู้ที่นำมาใช้พัฒนางาน พัฒนา ชีวิต และพัฒนา สังคมประเทศชาติ
ซึ่งเป็น ความรู้ที่แนบแน่นอยู่กับงาน เกี่ยวพันอยู่กับปัญหา เป็นความรู้ที่มีบริบท
การเรียนรู้ตามกระบวนทัศน์ใหม่ นี้จึงมักเริ่มต้นด้วยการพัฒนาตัวโจทย์ขึ้นมาก่อน
โดยใช้ปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นหลักเรียกได้ว่ามีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาสิ่งต่างๆ
ให้ดีขึ้นจึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการเรียนรู้นี้ขึ้น
มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ได้เอง สามารถคิดเอง
ทำเอง และแก้ปัญหาเองได้ โดยครูเป็น เพียงผู้ชี้แนะ
คอยให้คำแนะนำในการเรียนรู้
ที่ถูกต้องและเหมาะสมในการทำนวัตกรรมให้ประสบผลสำเร็จ0ได้นั้น ต้องเริ่มจากการให้คำมั่นร่วมกันระหว่างคน เกี่ยวข้องในการทำนวัตกรรม
โดยทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสินค้าและตราสินค้าเพื่อให้เกิดความมั่นคงร่วมกัน การปรับเปลี่ยนรกระบวนทัศน์
ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เพียงแค่ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือวิถีคิดแล้ว นวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เองโดยปริยาย
จำเป็นจะต้องอาศัยปัจจัยและองประกอบอื่นๆ มาสนับสนุนจึงจะประสบผลสำเร็จ ในบทความนี้จะขอหยิบยก 3องค์ประกอบหลัก ที่ถือว่าจำเป็นต่อ
การสร้างนวัตกรรม
การเรียนรู้ให้เกิดขึ้นซึ่งได้แก่1) เวลา 2)โอกาส หรือเวที และ 3)ไมตรีองค์ประกอบแรก
คือเรื่องขอเวลาพูดง่ายๆและตรงที่สุดก็คือถ้าไม่มีเวลา การเรียนก็ไม่เกิด
หรือเกิดได้ยาก
เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งสำหรับการเรียนรู้ องค์กร
ชุมชน หรือครอบครัวใดที่มัวแต่ยุ่ง
ตกอยู่ในสภาพที่เรียนว่า โงหัวไม่ขึ้น
จะทำให้หมดโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
และไม่มีเวลาสำหรับใช้คิดสร้างสรรค์ได้เลย
องค์ประกอบตัวต่อไปที่จะช่วยสนับสนุนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ได้ก็คือ โอกาส
หรือเวทีที่จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
วิธีการแลกเปลี่ยนอาจจัดเวทีการเรียนรู้ที่มีรูปแบบที่หลากหลาย คือมีทั้งเวทีที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ เช่น การจัดประชุม สัมมนาในรูปแบบต่างๆ
เป็นต้น
และเวทีในรูปแบบที่อาจจะไม่เป็นทางการมากนัก คืออาจจะจัดในลักษณะที่เป็นการร่วมตัวของคนที่สนใจ ไม่มีการบังคับและ องค์ประกอบที่สาม
ที่จำเป็นสำหรับสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้คือ ไมตรี
คือต้องมีน้ำใจให้แก่กัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยื่น น้ำใจอันดีแก่กัน นวัตกรรมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จึงจำเป็นต้องอาศัยใจที่เปิดกวาง ต้องเป็นใจที่ว่าง ว่างพอที่จะรับสิ่งใหม่ๆ
ที่หลั่งไหลเข้ามาโดยไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งเก่าๆ
จะต้องพัฒนาให้คนมีความสามารถที่จะละทิ้งสิ่งเก่าๆได้ ด้วยใจที่ไม่มีอคติ
ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นในลักษณะที่ใหม่หมด สดเสมอให้เป็นความรู้สึกเหมือนกับเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่ซ้ำกับสิ่งที่ได้เกิดไปแล้วในอดีต เป็นความรู้สึกตื่น ต้องการ
แบ่งปัน
และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
แนวความคิดพื้นฐานที่ทำให้เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้ ได้แก่
1) แนวความคิดเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล
(Individual
differences) จากที่เราได้เคยศึกษาทางด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับมนุษย์นั้น
พบว่า มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านกายภาพได้ แก่ร่างกายและด้านสติปัญญา ความคิด
และความรู้สึก การรับรู้และการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนจึง
ควรจัดให้สอดคล้องกับผู้เรียน
เช่น ความถนัด ความสนใจ ความสามารถของแต่ละคน อัตราการเรียนเร็วช้าของแต่ละคน
เช่นผู้เรียนที่เรียนรู้ได้เร็วจะได้ศึกษาค้นคว้าต่อไป โดยไม่ต้องเสียเวลา
ส่วนผู้เรียนช้าก็สามารถเรียนได้ตามอัตราการเรียนรู้ของตนโดยไม่เกิดปมด้อย นอกจากนี้ยังสามารถตอบนสนองทั้งด้านรูปแบบของแต่ละคน
ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลนี้ เป็นผลให้เกิดนวัตกรรมการศึกษา
ได้แก่ บทเรียนโปรแกรม หรือ บทเรียนสำเร็จรูป เครื่องช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ชุดการสอนรายบุคคล เป็นต้น แนวความคิดอย่างที่
2) ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness) แต่เดิมเคยมีความเชื่อว่าผู้เรียนจะเริ่มเรียนได้ต้องมีความพร้อมโดยเป็นไปตามลำดับขั้นตอนของพัฒนาการ
ปัจจุบันทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ได้ศึกษาพบว่า
ความพร้อมทางการเรียนเป็นสิ่งที่สามารถจัดขึ้นได้โดยการจัดบทเรียน
ลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก
และเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของผู้เรียนก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
นวัตกรรมการศึกษาที่เชื่อมกับแนวคิดนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้ ชุดการสอน
แนวคิดตัวต่อไปที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ แนวคิดที่
3) คือ แนวคิดพื้นฐานในเรื่อง
การเวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมจะระบุไว้แน่นอน ตายตัว เป็นภาคเรียน
แนวคิดในเรื่องการใช้เวลาเพื่อการศึกษานี้
เพื่อให้สัมพันธ์และมีความเหมาะสมกับลักษณะของรายวิชาแต่ละวิชา
ซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากันเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้เวลาในการศึกษาตามความสามารถและความจำเป็นของแต่ละคนนวัตกรรมที่ตอบสนองการเรียนรู้นี้ได้แก่
ตารางเรียนแบบยืดหยุ่น มหาวิทยาลัยเปิด เป็นต้น
และแนวคิดพื้นฐานที่ทำให้เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้ อย่างที่
4)
แนวคิดพื้นฐานจากผลอันเนื่องมาจากการขยายตัวทางวิชาการและอัตราการเพิ่มของประชากร
ซึ่งผลกระทบดังกล่าว
ทำให้ความต้องการทางด้านการศึกษาเพิ่มขึ้นตลอดจนความจำเป็นที่ต้องศึกษา
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และการดำรงชีวิตอีกทั้ง
การศึกษาในระบบนั้นไม่สามารถจัดให้ไดอย่างเพียงพอ
เป็นผลที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยเปิด (open university)การเรียนทางวิทยุโทรทัศน์ การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป
และชุดการเรียนนวัตกรรมสื่อการเรียนการสอนแบบตามคุณลักษณะได้ 4 ประเภทคือ
1.สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่ สไลด์
แผ่นใส เอกสารตำราสารเคมี
สิ่งพิมพ์ต่างๆ และคู่มือการฝึกปฏิบัติ
2.สื่อประเภทอุปกรณ์ ได้แก่
ของจริง หุ่นจำลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดีทัศน์ เครื่องฉายแผ่นใส อุปกรณ์และเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ
3.สื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ ได้แก่
การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบัติการฝึกงาน การจัดนิทรรศการ และสถานการณ์จำลอง
4.สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ ได้แก่
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (cai) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (computer presentation) การใช้ internet
และ internet เพื่อการสื่อสารและการใช้ www
( world wide web )
ในปัจจุบันนวัตกรรมมีรูปแบบหลากหลายมากมาย
เพื่อให้เราสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของบริบทแต่ละสถานที่ ผู้เรียน
และปัจจัยอื่นๆด้วย
ซึ่งสามารถเลือกใช้ตามประเภทของนวัตกรรม ดังนี้
1.บทเรียนสำเร็จรูป
2.ชุดการสอน
3.แผ่นภาพโปร่งใส
4.เอกสารประกอบการสอน
5.บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
6.วีดีทัศน์
7.สไลด์
8.เกม
9.สื่อประเภทอุปกรณ์
10.มัลติมีเดีย
11.internet
12.e-learning
ดังนั้นในการพัฒนาการศึกษา
เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้คนสนใจ และใคร่ที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
เพราะนวัตกรรมการเรียนการสอน ต่อไปน่าจะมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น เพราะปัจจุบันมีการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ซึ้งต้องมีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามสภาพจริง
เรียนรู้จากประสบการณ์ผู้เรียนจึงจะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ
ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายมีความสนใจกระตือรือร้นและเกิดความอยากรู้อยากเห็นสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองประกอบที่สำคัญดังนี้ ครูผู้สอน
ต้องมีความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมประเภท
Multimedia สามารถจัดทำสื่อนวัตกรรมออกมาใช้ในการเรียนการสอน
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ ผู้เรียนจะต้องสน ใฝ่เรียนรู้ในเรื่องขอการใช้นวัตกรรมในรูปแบบของไอทีให้มากขึ้น
เพื่อจะได้เกิดความคุ้นเคยแล้วสามารถใช้สื่อได้อย่างถูกต้อง และสถานศึกษาต้องจัดทำสื่อ อุปกรณ์เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์
ให้พร้อมเพื่อสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและทำให้การจัดกระบวนการเรียนการสอนมีความสมบูรณ์
ซึ้งจงส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการนำนวัตกรรมการเรียนรู้ไปพัฒนาการศึกษาให้มีความเจริญ
ก้าวหน้าต่อไป
นวัตกรรมทางการศึกษา "เพื่อเป็นผลงานทางวิชาการสำหรับครู"
นวัตกรรม
หมายถึง เครื่องมือ สื่อ
หรือ วิธีการใหม่ๆ
ที่นำมาพัฒนาการเรียนรู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีมีคุณภาพ และเกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าสื่อหรือวิธีการนั้นจะคิดขึ้นใหม่ หรือ
ดัดแปลงปรับปรุงมาจากของเดิมหรือเคยใช้ได้ผลดีมาแล้วจากที่อื่น และนำมาใช้อีก
ก็ถือว่าเป็น "นวัตกรรม"
นวัตกรรมแบบทางการศึกษา หมายถึง
เครื่องมือ สื่อ แนวคิด
วิธีการกระบวนการ
หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ที่นำมาใช้แก้ปัญหาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมายของหลักสูตร
ประเภทนวัตกรรมทางการศึกษา ตามลักษณะผู้ใช้ประโยชน์จำแนกได้ดังนี้
ประเภทนวัตกรรม/สื่อสำหรับครู ประเภทนวัตกรรม/สื่อสำหรับนักเรียน
- คู่มือครู
- เอกสารประกอบการสอน
- ชุดการการสอน
- สื่อประสมชนิดต่างๆ
- หนังสืออ้างอิง
- เครื่องมือวัดผลประเมินผล
- อุปกรณ์โสตทัศนวัสดุ
- โครงการ
- วิจัยในชั้นเรียน
- การศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล
- วิธีสอนแบบต่างๆ ฯลฯ
- บทเรียนสำเร็จรูป
- เอกสารประกอบการเรียน
- ชุดฝึกปฏิบัติ
- ใบงาน
- หนังสือเสริมประสบการณ์
- ชุดเพลง
- ชุดเกม
- โครงงาน
หลักการพิจารณานำนวัตกรรมมาใช้พัฒนาการเรียนรู้
การจะพิจารณานำนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ในวิชา หรือ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ใดๆ ควรยึดหลักสำคัญ
ดังนี้
1)
ตรงกับปัญหาหรือจุดพัฒนาของวิชานั้นเพียงใด
2)
มีความสอดคล้องกับธรรมชาติวิชาหรือไม่
3)
สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้หรือไม่
4)
มีหลักฐานน่าเชื่อถือว่าเคยใช้ได้ผลดีมาแล้วหรือไม่
ประโยชน์ของนวัตกรรมทางการศึกษา
1)
นักเรียนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
2)
นักเรียนเข้าใจบทเรียนเป็นรูปธรรม
3)
บรรยากาศการเรียนสนุกสนาน
4)
บทเรียนน่าสนใจ
5)
ลดเวลาในการสอน
6)
ประหยัดค่าใช้จ่าย
การออกแบบนวัตกรรม
นวัตกรรมมีความสำคัญ การพิจารณาความสำคัญของนวัตกรรม ให้ดูที่เหตุผลความจำเป็นของปัญหา ถ้ามีข้อมูลแสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความบกพร่องในจุดประสงค์การเรียนใดๆ
ที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อการเรียนการสอนทั้งปัจจุบัน และมีแนวโน้มเกิดขึ้นในอนาคตก็สมควรสร้างนวัตกรรมนั้นๆได้ในการออกแบบนวัตกรรมผู้ออกแบบควรกล่าวถึงส่วนต่างๆ
ต่อไปนี้
1) ชื่อนวัตกรรม
2) วัตถุประสงค์ของการใช้นวัตกรรม
3) ทฤษฎีหลักการที่ใช้ในการสร้างนวัตกรรม
4) ส่วนประกอบของนวัตกรรม
5) การนำนวัตกรรมไปใช้
การวางแผนพัฒนานวัตกรรม
เป็นแนวคิดที่ผู้ออกแบบนวัตกรรมจะต้องถามตัวเองว่า จะสร้าง
นวัตกรรมอะไรจึงจะมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการแก้ปัญหาจะไปค้นหาแหล่งอ้างอิงที่ไหนจะต้องสร้างกี่ชิ้นกี่ประเภท ใช้เทคนิคการสร้างอะไรบ้าง จะมีแนวการใช้นวัตกรรมอย่างไร ผู้ออกแบบนวัตกรรมควรวางแผนไว้ 3
ขั้นตอน
1)
ขั้นพัฒนาผู้ออกแบบนวัตกรรมต้องศึกษาแหล่งข้อมูลต่างๆ ของการพัฒนา คือ
-
ศึกษารายการนวัตกรรม
และลักษณะเฉพาะของแต่ละนวัตกรรมตัวอย่างนวัตกรรม
-
ศึกษาหลักสูตรหลักการสอนรายวิชาต่างๆ
เอกสารแนะนำ หลักการสอนต่างๆ ตัวอย่างแนวการสอน แนวการจัดกิจกรรม
- ศึกษาทบทวน
ทฤษฎีการสอน
หลักจิตวิทยาการศึกษา
- มีความริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง
2) ขั้นทดลองใช้
- หลังจากพัฒนานวัตกรรม 1
ชิ้น ผู้สอนควรนำไปทดลองสอน ระบุ
ชั้น วิชา ทดสอบเก็บคะแนนและหลังการใช้นวัตกรรม
3) ขั้นประเมินผลและรายงาน
- หลังจากทดลอง
ผู้ออกแบบนวัตกรรมได้นำนวัตกรรมไปทดลองใช้และเก็บคะแนน วิเคราะห์ผลการทดสอบ
แสดงสถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนการทดลอง ผู้ออกแบบนวัตกรรมเขียนรายงานผลการทดลองเผยแพร่ให้ครู-อาจารย์อื่นๆ
ทราบ อาจประกอบด้วย
(1)
แผนการสอนที่ใช้ทดลองนวัตกรรม
(2)
นวัตกรรมที่สร้าง หรือ พัฒนาขึ้น
(3)
คู่มือการใช้นวัตกรรม
(4)
แบบทดสอบ ก่อน-หลัง การใช้นวัตกรรม
(5)
รายงานผลการทดลอง
การทดลองใช้นวัตกรรม
การทดลองใช้นวัตกรรม หมายถึง
การนำนวัตกรรมที่สร้างเสร็จเรียบร้อยและมีการประเมินตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรม ทั้งในด้านความเหมาะสมถูกต้องทางภาษา เนื้อหา
และความสะดวกหรือปัญหาอุปสรรคต่างๆ
ในการทดลองไปใช้สอนในสภาพบรรยากาศของชั้นเรียนจริงๆ
โดยผู้ออกแบบนวัตกรรมจะต้องกำหนดรูปแบบการประเมินด้วยการระบุวัตถุประสงค์ตัวแปรที่ศึกษา (ต้องการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง เช่น
ความสนใจ ผลสัมฤทธิ์ หรือ
เวลาที่ใช้) กลุ่มตัวอย่าง (ระบุว่าไปทดลองกับนักเรียน ระดับชั้นใด
โรงเรียนไหน จำนวนเท่าใด) เครื่องมือที่ใช้วัด (ได้แก่ แบบทดสอบ แบบบันทึกการสังเกตหรือแบบสัมภาษณ์) และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลง่ายๆ
(เช่นค่าร้อยละ
ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
หรือทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ฯลฯ) และกำหนดแนวทาง สรุปผลการทดลองใช้
รูปแบบของการทดลอง
มีหลายรูปแบบ ในที่นี้จะนำเสนอเพียง 2
รูปแบบ เพื่อให้เกิดแนวคิดดังนี้
การทดลองรูปแบบที่ 1
ผู้สอนนำนวัตกรรมไปใช้ในชั้นเรียน
เมื่อการสอนสิ้นสุดลง ทำการสอบ
วัดเพื่อวัดผลการเรียนได้ผลหรือไม่
การทดลองรูปแบบที่ 2
ผู้สอนทำการทดสอบก่อนนำนวัตกรรมไปใช้
เว้นช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์ แล้วทำการสอน
โดยใช้นวัตกรรม
เมื่อการสอนสิ้นสุดลง
ให้นักเรียนทำ แบบทดสอบอีกครั้ง
ด้วยแบบทดสอบฉบับเดิม
(หรือคู่ขนาน) แล้วเปรียบเทียบผลการทดลอง
ตัวอย่างนวัตกรรม
1. ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน
ชุดการสอน หมายถึง
ระบบการนำสื่อการสอนหลายๆ
ชนิดที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ของแต่ละหน่วย
มาช่วยในการเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ชุดการสอนนิยมจัดไว้ในกล่องหรือซองแบ่งเป็นหมวดๆ บางครั้งเรียกว่า "กล่องการสอน" หรือ
"กล่องวิเศษ"
เพราะหยิบมาเพียงกล่องเดียวก็ทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างสะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
ในแต่ละหน่วยของชุดการสอนจะกำหนดจุดมุ่งหมายเชิง พฤติกรรม หัวข้อ
เนื้อหาวิชา วิธีสอน กิจกรรม วัสดุอุปกรณ์
การวัดและประเมินผล เป็นหน่วยๆ
ไป
แต่ละหน่วยจะมีความสมบูรณ์ในตัวเอง
ชุดการสอนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด
คือ
1)
ชุดการสอนประกอบการบรรยาย
เป็นชุดการสอนสำหรับครู
กำหนดกิจกรรมและสื่อการสอนให้ครูใช้ประกอบการบรรยาย ทำให้ครูพูดน้อยลง
นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากขึ้น มีองค์ประกอบ
ดังนี้
-
คู่มือ (หัวข้อบรรยาย)
-
สื่อ (ใช้ประกอบการบรรยาย)
-
กิจกรรม (ตามลำดับ)
2)
ชุดการสอนสำหรับกิจกรรม
นักเรียนจะเรียนรู้จากการประกอบกิจกรรมกลุ่มร่วมกันตามสื่อและหัวข้อที่กำหนดไว้ ครูจะเปลี่ยนบทบาทโดยสิ้นเชิง กลายเป็นผู้เตรียมประสบการณ์หรือ
ผู้อำนวยการเรียน ผู้ประสานงาน
(ให้เด็กทำกิจกรรม)
และเป็นผู้ตอบคำถามเท่านั้น
3)
ชุดการสอนรายบุคคล เป็นชุดการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเองตามกระบวนการและลำดับขั้นที่บอกไว้
เมื่อเรียนจบตอนแล้วก็จะทำแบบทดสอบเพื่อประเมินผลแล้วก็เรียนชุดการสอนชุดต่อไป
ตามลำดับขั้น ครูจะให้ความช่วยเหลือในฐานะผู้ประสานงานและคอยตอบปัญหา (ถ้ามี)
ชุดการสอนรายบุคคลนี้ ผู้เรียนนำไปเรียนที่บ้านก็ได้ เป็นการช่วยเสริมวิชาที่อ่อนได้เป็นอย่างดี
วิธีสอนแบบศูนย์การเรียน
การสอนแบบศูนย์การเรียน มีลักษณะสำคัญ
ดังนี้
1) แบ่งกลุ่มนักเรียน ตามแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละเรื่องออกเป็น
4-6 กลุ่ม ให้มีกลุ่มสำรอง 1 กลุ่ม
เสมอ
2)
ระบบการสอนแบบศูนย์การเรียน
เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่มั่นคงถาวร
3)
จัดกิจกรรมการเรียน
ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คาดหวังตั้งเงื่อนไขและเกณฑ์ให้เหมาะสม
4)
นำสื่อประสมมาประกอบการเรียนการสอน
5)
กระบวนการสอนในห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน
มี 5 ขั้น คือ
5.1) ทำแบบทดสอบก่อนเรียน
5.2) นำเข้าสู่บทเรียน
5.3) จัดกิจกรรมการเรียน
5.4) สรุปบทเรียน
และ
5.5) ประเมินผล
ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน
ชุดการสอนเป็นที่รวมของสื่อการเรียนหลายประเภทที่สนับสนุนให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ การเรียนและสื่อการเรียนเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการเรียนการสอน
ส่วนประกอบของชุดการสอนในศูนย์การเรียน
มีดังนี้
1)
กล่องสำหรับใส่บัตรกิจกรรม
2) บัตรกิจกรรม ประกอบด้วย บัตรคำสั่ง บัตรเนื้อหา
บัตรคำถาม บัตรเฉลย
3)
สื่อการเรียน เช่น แผ่นภาพ
แผ่นที่ หุ่นจำลอง หนังสือ ฯลฯ
4)
คู่มือครู มีหัวข้อ คำนำ
คำชี้แจง แผนการสอน
5)
ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน
6)
เฉลย
กระบวนการสร้างชุดการสอน
1.
ศึกษาจุดม่งหมายหลักสูตรและขอบข่ายของเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้
ในระดับชั้นที่จะสอน
2.
ทำโครงการสอนหรือกำหนดการสอนตลอดปี
โดยแบ่งเป็นรายภาค
3.
นำเนื้อหาวิชาหรือเรื่องที่จะสอนแบ่งเป็นหน่วยการเรียนย่อย
4.
ทำแผนการจัดการเรียนรู้
วิธีทำแผนการจัดการเรียนรู้มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
(1)
แบ่งเนื้อหาหรือเรื่องออกเป็นหน่วยย่อยเรียกว่า หัวเรื่อง
(2)
กำหนดแนวคิด
(3)
กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้มีพฤติกรรม เงื่อนไข